วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2550

ชีวิตที่ตกล่วงไป

วันที่ 14 มีนาคม 2550 มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญในภาคใต้เกิดขึ้นคือการสังหารผู้โดยสารรถตู้โดยสารที่วิ่งระหว่าง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ผู้โดยสารถูกจ่อยิงอย่างโหดร้ายทีละคน ในการเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเล่าถึงเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบเดียวกันนี้ในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2523 มีการปิดถนนสายยะลาเบตงแล้วให้ผู้โดยสารลงมาผู้ก่อการแยกคนไทยพุทธออกจากคนไทยมุสลิม แล้วสังหารทีละคน หนึ่งในผู้ถูกสังหารคือเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดน เหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ. 2523 ผมอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ที่บ้านดาเน๊าะปูเต๊ะ อำเภอบันนังสะตาจังหวัดยะลา
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ขบวนการโจรก่อการร้ายและขบวนการโจรจีน ปฏิบัติการในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างรุนแรง
เรากลับจากทำงานก่อสร้างหมู่บ้านคอกช้าง อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างอำเภอบันนังสะตากับอำเภอเบตง ในระยะนั้นเท่าที่จำได้น่าจะเป็นช่วงที่เรายังเดินทางไปกลับเพื่อก่อสร้างหมู่บ้านคอกช้าง เป็นพื้นที่อพยพสำหรับราษฎรในอ่างเก็บน้ำเขื่อนบางลาง เราต้องรอจนกว่าเหตุการณ์จะสงบ ซึ่งเป็นเวลาหลายชั่วโมง (การเดินทางระหว่างเขื่อนบางลางกับบ้านคอกช้างใช้เวลานานประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง )เรากลับที่พักด้วยความไม่แน่ใจในความปลอดภัยในการเดินทาง
ในวันต่อมาหลังจากนั้นได้มีการพิจารณาว่าเพื่อความปลอดภัยให้เราย้ายไปสร้างที่พักที่หมู่บ้านและจะมีหน่วยทหารไปคุ้มครอง เราต้องไปสร้างที่พักเอง ที่พักส่วนใหญ่ของเราทำด้วยไม้ไผ่ มุงด้วยสังกะสี ทำแคร่ไว้สำหรับนอน มีที่ทำอาหาร เราไปอยู่ที่หมู่บ้านคอกช้างทั้งหน่วยก่อสร้างที่มีเครื่องจักรและหน่วยซ่อมบำรุง เป็นหน่วยงานเบ็ดเสร็จเพื่อเร่งดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ ให้ทันการเก็บกักน้ำ เราก่อสร้างหมู่บ้านจนแล้วเสร็จและย้ายกลับมายังเขื่อนบางลางในปี พ.ศ. 2524 ตอนต้นปี
ความรุนแรงมีอยู่ตลอดตั้งแต่เราเริ่มก่อสร้างเขื่อนบางลาง ผมเดินทางไปที่จังหวัดยะลาในปี พ.ศ. 2519 ทำถนนทางเข้าเขื่อน และในปี พ.ศ. 2520 หลังจากบุกเบิกหัวงานเขื่อนบางลางแล้วเสร็จ เราเริ่มสำรวจพื้นที่เพื่อก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรให้แก่ราษฎรในอ่างเก็บน้ำเขื่อนบางลาง และวันที่ 20 ก.ย. 2520 ผมและคณะสำรวจได้ถูกควบคุมตัวโดยขบวนการโจรก่อการร้าย(ขจก.)
เราถูกควบคุมตัวประมาณครึ่งวันบ่าย และได้รับการปล่อยตัวออกมาประมาณหกโมงเย็นของวันนั้น โดย ขจก. ได้ยึดวิทยุติดรถของเราไป เป็นเหตุให้ หน่วยงานต้องขอเปลี่ยนคลื่นความถี่ทั้งประเทศในเวลาต่อมา
เมื่อย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์เก่าๆ ผสมกับข่าวใหม่ของการทำร้ายกัน
ผมไม่รู้ว่าหกปีที่อยู่ก่อสร้างเขื่อนบางลางเราผ่านวันเวลามาได้อย่างไร โชค บุญวาสนา หรืออะไรทำให้เรารอดชีวิตมาได้ถึงทุกวันนี้ ผมรู้สึกยินดีในชะตากรรมที่ผ่านมาแม้วันนี้ไม่มีใครจำได้ว่าใครเป็นผู้ทำงานที่เสี่ยงอันตรายเหล่านั้นให้สำเร็จได้ เพราะถึงไม่มีผมและคณะหน่วยงานก็มีคนอีกมากมายที่จะทำในสิ่งเหล่านี้

ได้แต่ส่งแรงปรารถนาไปให้ท่านทั้งหลายได้มีความปกติสุขต่อไปด้วย

ชีวิตที่อยู่เบื้องหลัง


มีโอกาสสนทนากับเพื่อนที่ร่วมงานเฉพาะกิจด้วยกัน บนเส้นทางของชีวิตการทำงานของเราที่ทำมาเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 33 ปี เราพบว่าการทำงานที่ผ่านมาเราอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของงานหลายๆด้าน ความสำเร็จที่เราไม่ได้พูดถึงเพราะเราไม่ต้องการโอ้อวด ไม่ต้องการทวงหาบุญคุณ เมื่อเวลาผ่านไปเราเริ่มไม่แน่ใจเพืยงการทำโดยไม่พูดไม่อาจสร้างความเข้าใจได้
เราทำงานในการให้ความรู้คนในการจัดการความรู้ ทำให้เรารู้ว่าเราต้องพูด พูดในสิ่งที่ดี สิ่งที่สร้างสรร สิ่งที่สร้างเสริม สิ่งที่เป็นความเกื้อกูล สิ่งที่เป็นความจริง ความงาม ความดี ทั้งที่ผ่านมาแล้ว ที่กำลังทำอยู่และที่จะมาถึง
เมื่อก่อนผมเข้าใจว่าเราทำ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์นั่นเพียงพอสมใจที่จะทำแล้ว ไม่ต้องโฆษณาสาธยาย เพราะมันจะส่งผลไปตามเวลา
บัดนี้ผมเข้าใจแล้ว
บางครั้งเราหว่านเมล็ดพืชลงไปในดินแล้วเรารอความงอกงามของการหยั่งราก ระบัดใบ ผลิดอก ออกผล ตามเวลาจะต้องเป็นไป แล้วเราจะได้ผลจากการรอคอยนั้น แต่ทำไมผลนั้นไม่มาถึงเราสักที เราทำต้นเหตุต้องได้รับผลตามเหตุนั้นซิ แต่เราไม่ได้รับสักที เกิดอะไรขึ้น
บัดนี้ผมเข้าใจแล้ว
จากการสนทนากับเพื่อนผู้เกื้อกูล ผมคิดใคร่ครวญแล้วพบว่า เราหว่านเมล็ดพืชแล้วเราคิดว่าหน้าที่เราเสร็จสิ้น แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกมากมาย เช่น นกมาจิกกินเมล็ดพืชที่เราหว่านนั้น ลมพัดพาไปที่อื่น เราไม่ได้รดน้ำความชื้นในอากาศไม่เพียงพอจะทำให้งอกงาม และความร้อนทำให้แห้งตาย เป็นต้น มีเหตุการณ์มากมายที่เราไม่คาดคิด ไม่ได้ป้องกัน ไม่ได้ทำให้ครบกระบวนความ ทำให้ผลไม่ได้ตามที่คาดคิด
ผู้ที่มีความสำเร็จในการปลูกพืชย่อมรู้กระบวนความในการปลูกพืช เขาย่อมเตรียมก่อนปลูก ใส่ใจตั้งใจในการปลูก และดูแลบำรุงรักษาหลังปลูก ผลจากการกระทำที่มีสติอยู่กับกระบวนความต่างๆ อย่างเข้าใจด้วยประสบการณ์ นำมาสู่ความสำเร็จได้
บัดนี้ผมเข้าใจแล้ว
การที่เราทำเหมือนการหว่านเมล็ดพืช การที่เราพูดถึงเหมือนเรารดน้ำพรวนดินดูแลบำรุงรักษา อย่างใส่ใจด้วยความตั้งใจทำให้ดีที่สุดผลจึงเกิดขึ้นเป็นความงอกงาม และที่จริงเราไม่ได้อยู่เบื้องหลัง เราคือผู้ทำที่แท้จริง
บัดนี้ผมเข้าใจแล้ว
สิ่งที่ผ่านมาเราทำได้ดีแล้ว แต่ละขณะที่เรามีผู้นำที่ให้โอกาสเราทำ หากผู้นำเป็นผู้บำรุงรักษาหลังการปลูกท่านย่อมเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลแห่งการปลูกนั้นไม่ใช่ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ หากผู้นำที่เกื้อกูลย่อมแบ่งผลที่เก็บเกี่ยวได้ให้กับผู้ปลูกบ้าง
ดังนั้นผมและเพื่อนไม่ใช่ผู้อยู่เบื้องหลัง เราอยู่ข้างหน้า ทำและทำ ผู้อื่นต่างหากที่อยู่เบื้องหลังหากแต่เป็นเบื้องหลังที่เก็บเกี่ยวผลได้ด้วยความอดทนและฝีมือของเขาเอง
คนเราถนัดกันคนละอย่าง บางคนทำงานด้วยชีวิตที่อยู่เบื้องหลังครับ

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2550

ชีวิตวันนี้

วันนี้มีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาก ที่มากเพราะต้องตัดสินใจ ต้องตอบสนอง ต้องทำ
เริ่มวันด้วยการตื่นนอน 04:30น. ทำ กิจวัตรประจำวัน ออกเดินทางไปทำงานถึงที่ทำงาน 08:00 น.รถเกิดอาการมีน้ำไหลออกเห็นได้จากใต้ท้องรถติดต่อให้ช่างมาดู ช่างบอกว่าต้องซ่อมท่อน้ำทั้งหมด ช่างถอดท่อน้ำระหว่างรอช่าง ทางผู้ดูแลแม่แจ้งว่าแม่พร้อมที่จะออกจากโรง พยาบาลที่รักษาตัวได้แล้ว ค่าใช้จ่าย 170,000 บาท ในขณะนี้
09:30 น. ช่างให้ไปรับตัวอย่างอะหลั่ยเพื่อไปจัด หามาเปลี่ยน สอบถามงานที่จะอาศัยไปร่วมกับรถของหน่วยงาน น้องที่ทำงานด้วยให้ข้อมูลว่ามีงานที่จะทำในตัวเมืองได้ จึงขอ รถเพื่อไปทำงาน และอาศัยไปซื้ออะหลั่ยด้วย
11:00 น. ได้อะหลั่ยมาให้ช่างซ่อมรถต่อไป
12:50 น. โทรศัพท์ ติดต่อกับภรรยาที่หลบภัยทางความคิดไปอยู่บ้านเกิดที่อำเภอปายแล้วทราบว่า ภรรยากำลังไม่สบายใจกับท่าทีและคำพูดของแม่ยาย
13:25 น. ได้รับโทรสารเรื่องย้ายพนักงาน ให้ตัวผมเองย้ายไปสังกัดใหม่ทั้งนี้ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2550
14:00 น. ได้รับ E-mailเรื่องการบรรยายให้กับสายงานอื่น
15:00 น. ปรึกษากับน้องที่รู้เรื่องการเขียน Program Java เพื่อจะศึกษาให้รู้และสามารถใช้งานได้
17:30 น. นำหนังสือที่ได้รับการให้มาใช้สำหรับ การศึกษาวิจัยที่ทำให้กับน้องทั้งสอง
18:00 น. ถึงบ้านพัก พบกับผู้รับเหมาที่จะต่อเติมและซ่อมแซมบ้าน
18:30 น. รถน้ำต้นไม้เสร็จ
19:00 น. เริ่มเหนื่อยกับชีวิตวันนี้ แต่ยังคิดว่ามีกำลังอยู่ที่จะเผชิญกับปัญหาด้วยปัญญา


(ภาพเซรามิคอันสวยงามจากงานเซรามิคแฟร์ ที่จังหวัดลำปาง ปี 2549)


เขียนบันทึกนี้ เมื่อเวลา 19:30 น.
มีความสุขกับความวุ่นวาย เมื่อวุ่นจึงไม่ว่าง

ผมพบว่าคนเรามีบทบาทต่างๆ ที่ต้องดำเนินไปและจุดประสงค์ของคนเราตามบทบาทต่างๆ เคลื่อนไหวไปไม่มีวันหยุดนิ่ง

ผมต้องเป็นสามีที่มีบทบาทการดูแลภรรยาบนจุดประสงค์ที่จะทำให้เธอมีความสุข ความสุขของเธอจะสะท้อนกลับมายังครอบครัว ผมต้องเป็นลูก มีบทบาทที่จะตอบแทนให้แก่แม่ บนจุดประสงค์ที่ให้มีความสุขตามอัตตภาพ ผมต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สิน มีบทบาทในการรับผิดชอบจัดหา ดูแล บำรุงรักษา จุดประสงค์คือทำให้ทรัพย์สินสามารถใช้งานได้และมีประโยชน์ต่อการใช้งาน ผมต้องเป็นผู้ลูกน้อง มีบทบาทต้องทำงานให้ได้ตามที่นายสั่งการ จุดประสงค์คือทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดทั้งต่อผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชา ผมต้องเป็นลูกศิษย์ มีบทบาทในการเรียนให้รู้ตามที่ครูจะสั่งสอน จุดประสงค์คือสามารถใช้ความรู้ไปทำงานได้ ผมต้องเป็นวิทยากร มีบทบาทในการบรรยายและสนับสนุนให้การทำ Workshopดำเนินไปได้ตามวัตถุประสงค์ของการอบรม ผมต้องเป็นอีกหลายอย่างที่ไม่ได้กล่าวและบันทึกไว้ด้วยบทบาทและวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไปตามฐานานุรูป


ความเหนื่อยและกำลัง
เมื่อกำลังลดถอยความเหนื่อยเข้ามาเยือน เพียงความคิดว่ามีกำลังไม่ใช่ความจริงที่จะเผชิญกับความเหนื่อยได้

ผมแยกความเหนื่อยออกเป็นเหนื่อยกาย เหนื่อยวาจา และเหนื่อยใจ

เหนื่อยกายเมื่อเผชิญกับความบีบคั้นทางกายจนเกินกำลัง เหนื่อยวาจาเมื่อเผชิญกับการต้องใช้วาจาบนหนทางที่ไม่รู้ว่าความเข้าใจจะมีเมื่อใด เหนื่อยใจเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ใจไม่คาดคิดและหาทางออกไม่ได้หากในภาพรวมความเหนื่อยทั้งหมดมาประชุมกัน รวมกัน กำลังกายกำลังวาจากำลังใจที่มีไม่สามารถจะต้านทานได้ ความเหนื่อยจึงยั่งยืนและยึดพื้นที่แห่งกำลังทั้งหมดไว้
ต้องย้อนกลับมาสร้างกำลังทั้งสามใหม่ กำลังกายสร้างด้วยการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ กำลังวาจาสร้างด้วยการฟังอย่างสม่ำเสมอ กำลังใจสร้างด้วยการสงบนิ่งอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกาย ต้องมีความต่อเนื่องความหนัก ความนาน กล่าวคือ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออาทิตย์หนึ่งต้องมีความต่อเนื่องไม่ต่ำกว่าสี่วัน ต้องมีความหนักคือให้หัวใจทำงานร้อยละแปดสิบของความสามารถของหัวใจตามวัย ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นวิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ เล่นกีฬาอื่นๆ ที่ให้หัวใจทำงานร้อยละแปดสิบของความสามารถของหัวใจบนความนานไม่น้อยกว่าสามสิบนาทีในแต่ละครั้งของการออกกำลังกาย กำลังกายย่อมมีด้วยประการนี้
การออกกำลังวาจา ต้องมีการฟังอย่างลึกซึ้งในเบื้องต้น มีความคิดที่เกื้อกูลในท่ามกลาง และมีการแสดงออกที่เมตตาในที่สุดกล่าวคือฟังให้ได้ความอย่างที่ผู้พูดต้องการแสดงออก รับด้วยหัวใจเปิดว่างไม่มีการตัดสินด้วยสัญญาความจำเดิมของตน ไม่ตัดสินด้วยอารมณ์ความอ่อนไหวไปกับสิ่งแวดล้อมด้วยอคติสี่เพราะรัก โลภ โกรธ หลง มีความคิที่เกื้อกูลต่อสิ่งที่ได้รับฟังมา คิดเชิงบวก คิดต่อยอด คิดสร้างสิ่งใหม่ คิดไปข้างหน้า คิดสร้างสรรค์ คิดเพื่อเข้าใจและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง แล้วแสดงออกด้วยความเมตตาวาจาทึ่สร้างกำลังคือวาจาที่ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้าย มุ่งดี มุ่งความเจริญ วาจาที่ประกอบด้วยองค์เหล่านี้เป็น
วาจาที่มีกำลัง กำลังวาจาย่อมมีด้วยประการนี้
การออกกำลังใจ ต้องมีความหยุดนิ่ง ทิ้งตัวตน เชื่อผลกรรม กล่าวคือใจที่หยุดนิ่งคือใจที่มีพลัง กายต้องเคลื่อนไหวแต่ใจต้องหยุดนิ่งจึงเกิดพลัง หยุดนิ่งในความคิด หยุดความคิดไม่ได้ต้องทำให้ใจเป็นหนึ่งเดียวหยุดอยู่ที่เดียวเพื่อสร้างกำลัง จะหยุดนิ่งได้ต้องทิ้งตนให้ได้ ละอัตตาความมีความเป็น ละมานะความเหนือกว่าด้อยกว่า ละทิษฐิความถูกความผิด ทิ้งตนได้ต้องเชื่อกรรม เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด จะทำกรรมอันใดไว้ก็ตาม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นผู้ได้รับ ผลของกรรมอันนั้น เข้าใจแล้วจะไม่ต้องอดทน ไม่ต้องอดทนแล้วจะไม่เหนื่อย กำลังใจย่อมมีด้วยประการนี้

เข้าใจบทบาทและวัตถุประสงค์ที่ตนต้องทำต้องปฏิบัติความสุขย่อมมีได้ตลอดเวลาของชีวิตทุกวันไม่เฉพาะชีวิตวันนี้

ไม่เหนื่อยไม่ท้อ ทำและทำ ไม่เพื่ออะไรทั้งนั้น ทำไปตามธรรม ธรรมดา ธรรมชาติ

ชีวิตที่มีความสำเร็จ

น้องสองคนเล่าให้ฟังถึงการสอบวิชาค้นคว้าอิสระ ซึ่งมีผู้เข้าสอบทั้งสิ้น 16 กลุ่ม ผลการสอบมี 3 ระดับ คือ ผ่านโดยไม่มีเงื่อนไข ผ่านโดยมีเงื่อนไข และไม่ผ่าน ผลการสอบของน้องผ่านโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งทั้ง 16 กลุ่มมีผ่านโดยไม่มีเงื่อนไขเพียง 2 กลุ่มน้องเป็นหนึ่งในสอง
เมื่อสิ้นสุดการสอบจะมีการคัดเลือกกลุ่มดีเยี่ยมเพื่อไปเสนอผลงาน กลุ่มของน้องไม่ได้รับเลือกในขั้นต้นน้องรู้สึกเสียหน้า พามาสู่ความเสียใจ แต่แล้ววาบคิดได้ว่า น้องตั้งเป้าการสอบครั้งนี้เพียงแค่ผ่านมิใช่หรือ ผ่านแล้วย่อมประสพผลแล้ว น้องถามเพื่อนที่นำเสนอด้วยกันว่าเสียใจหรือไม่ คำตอบคือไม่ เพื่อนน้องให้เหตุผลว่าจะได้ไม่มีแรงกดดันต่อชีวิตที่เป็นปกติสุข






ในความคิดของผม
ความสำเร็จเกิดขึ้นมาตั้งแต่ได้ลงมือทำจนเกิดผล การนำเสนอเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ความสำเร็จสมบูรณ์ด้วยการดูดี แม้ไม่มีการนำเสนอ ผลงานย่อมมีประโยชน์ในตัวของผลงานอยู่แล้ว การผ่านโดยไม่มีเงื่อนไขเป็นผลจากการทำงานเสร็จในระยะเวลาก่อนที่จะนำเสนอ การนำเสนอเป็นการยืนยันว่าผลงานนั้นมาจากการทำจริงของผู้นำเสนอ ผู้นำเสนอไม่ได้ให้ใครทำให้ หรือหยิบยกผลงานของผู้อื่นมานำเสนอ งานที่นำเสนอนี้ผ่านการกระทำของผู้นำเสนอ เมื่อทำจริงจึงคงทนต่อคำถามที่เกิดขึ้น
บางทีจุดประสงค์ของการนำเสนอเพื่อสอบนี้ มีเหตุผลอีกประการที่สำคัญคือการรักษามาตรฐานของ มหาวิทยาลัยนั้นๆ ที่จะปล่อยมหาบัณฑิตออกไปเผชิญกับการตรวจสอบจากโจทย์จริงของชีวิต
โจทย์ที่จะต้องเผชิญหน้าอย่างสง่างาม ด้วยความรู้เท่าทันว่า ปรากฏการณ์ที่เห็นนั้นมีประเด็นอยู่ที่ใด คำถามของชีวิตจริงบางครั้งไม่ได้จำกัดกรอบ เราจึงแก้ไขไม่ได้ ถ้าเราตีประเด็นจำกัดกรอบไว้ เราก็อาจไม่ได้บรรลุถึงความเป็นจริงของปรากฏการณ์นั้น
มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องการให้มหาบัณฑิตตีโจทย์แตกครับ เมื่อตีโจทย์ได้แล้วจึงรู้ว่าจะไปหาหนทางแก้มาจากไหน มีใครเคยแก้โจทย์เหล่านี้บ้างไหม มีใครเคยพูดอะไรไว้เกี่ยวกับประเด็นอย่างนี้บ้าง นำมาสงเคราะห์เข้ากับปัญหาของเราได้อย่างไรถ้าเราจะได้ความจริงแห่งคำตอบมาเราจะต้องทำอย่างไร
เขาต้องการให้น้องคิดอย่างเป็นระบบ คิดด้วยการคำนึงถึงทุกระบบย่อยที่ประกอบกันเป็นระบบใหญ่ มองเห็นภาพรวมทั้งหมด แล้วใช้กลวิธีหาความจริงที่มีในโลกเข้าไปค้นหาความจริงนั้น หากสร้างกลวิธีใหม่ในการค้นหาน้องต้องอธิบายได้ว่า เครื่องมือนั้น กลวิธีนั้นทำงานอย่างไร
สิ่งที่สง่างามที่สุดคือ ผู้ผลิตบัณฑิตและมหาบัณฑิตทุกแห่งได้เห็นผลผลิตของเขาลงมือทำจริง ทำจริงจริง จนทราบผล ผลของการทำจริงนั้นมีข้อมูลอย่างไร สรุปผลข้อมูลนั้นได้อย่างไร และจะสรุปความจริงที่พบอย่างไร
น้องจะเห็นได้ว่าผลของข้อมูล สรุปผลการศึกษา และการอภิปรายผล เราจะแถลงซ้ำๆ กันถึง 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เป็นการย้ำให้เห็นว่าทุกอย่างผ่านการกลั่นกรองแล้ว 3 ครั้ง และเมื่อยืนยันผลเช่นนี้ ผลที่มีความจริงอยู่ในประเด็นนั้นๆ การให้ข้อเสนอแนะจึงให้น้ำหนักแก่ความจริงที่พบแล้วจะผ่าผ่านข้อจำกัดเดิมในการศึกษาครั้งต่อไปได้อย่างไร แสดงให้เห็นความใส่ใจใคร่ราวญอย่างรอบครอบ ต่อโจทย์ของชีวิตนั้นๆ ดังนั้นความเจริญอย่างยั่งยืนจะตามมาบนการสะสมภูมิปัญญาของน้องอย่างแท้จริง
ภูมิปัญญาที่ประเมินแล้วว่า ผลสำเร็จที่ได้ผ่านโดยไม่มีเงื่อนไข
ภูมิปัญญาที่ปรับใจเข้าหาความเป็นจริง และไม่เขยิบสิ่งที่คาดหวังออกไปให้หัวใจรันทด

ผมมีความเห็นเพิ่มเติมว่า
จุดประสงค์ของการเขียนรายงาน คือการนำเสนอความจริงความดีที่ค้นพบ จุดประสงค์ของการนำเสนอรายงาน คือการขยายความจริงความดีที่พบแล้ว
รายงานที่เขียนสามารถบันทึกได้เพียง 20 % ของการค้นพบเท่านั้น
และการนำเสนอยังไม่อาจเติมเต็ม อีก 80 % ของการค้นพบได้
รายงานเป็นเพียงความรู้ชัดแจ้งที่จารจารึกจดไว้อยู่คงทนแต่ไม่งอกเงย
การนำเสนอเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ฝังลึกที่อยู่ในตัวตนผู้ค้นหาความจริงไม่คงทนแต่งอกเงยได้อย่างงอกงาม และไม่สามารถนำออกเสนอได้ทั้งหมด
ทุกครั้งที่นำเสนอความรู้ฝังลึกจะปรากฏออกมา ด้วยบริบท บรรยากาศที่แตกต่างกัน ความรู้ฝังลึกนั้นจะค่อยๆถ่ายทอดออกมา ในมิติต่างๆ ที่แตกต่างกัน
เราไม่อาจเขียนความสัมพันธ์ที่เราสร้างก่อนที่จะได้ความคิดและข้อมูลมา
เราไม่อาจเขียนความรู้สึกของผู้ค้นคว้าและประชากรที่เราค้นคว้าได้
เราไม่อาจเขียนบางสิ่งที่ซ่อนเร้นลึกอยู่
เราเพียงรู้ว่าสิ่งที่รู้นั้นยังมีอีกมากที่ไม่ได้เขียน
แม้เราจะเขียนได้ก็เป็นเพียงบางส่วน
ความจริงคือเรามีสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ภายในตัวเราพร้อมที่จะเปิดออก เมื่อถึงเวลา ในบริบท ในบรรยากาศ และสถานการณ์ถึงพร้อม
เพราะมันฝังอยู่ภายในนั่นคือจุดประสงค์ของการค้นหาความจริงความดี
การค้นหาที่ให้ความจริงความดีแก่เราไว้โดยไม่รู้ตัว จนกว่าจะเกิดโจทย์ที่แท้จริงในชีวิตจริง

เมื่อเกิดขึ้นจงหวนกลับมาหาความสำเร็จที่ประทับใจ แล้วใช้วิธีการนั้นอีกครั้งเพราะมันเป็นหนทางของชีวิตที่มีความสำเร็จ

วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2550

ชีวิตที่เปลี่ยนไป

ช่วงนี้ต้องเดินทางไปอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทุกสัปดาห์ เพราะภรรยาและลูกไปอยู่ที่บ้านแม่ยาย

เห็นอำเภอปายมาตั้งแต่ปี 2537 ปายแต่เดิมบรรยากาศเงียบสงบเปี่ยมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่ทรงคุณค่ามากดึงดูดผู้เดินทางให้ใฝ่ฝันหา อากาศดีมากในความเย็น มีบ่อน้ำร้อน มีน้ำตก ภาพยนต์หลายเรื่องที่ไปถ่ายทำที่ปาย
ในอดีตมีบ้านพักตากอากาศของผู้นำในยุคก่อนๆ ริมน้ำปาย มีสนามบินที่ปัจจุบันนี้ยังใช้งานได้
ปี 2549 ปายถูกธรรมชาติลงโทษ น้ำท่วมปายเกือบทั้งเมืองปาย ความรุนแรงคราวนั้นยังมีร่องรอยให้เห็นถึงปัจจุบัน คอสะพานบางแห่งยังสร้างไม่แล้วเสร็จ
ปายแต่เดิมเงียบ หลังสามทุ่มไม่มีร้านเปิดขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ... มีโรงแรมปาย มีบ้านพักไม่กี่หลัง
คนปายไม่นิยมอยู่ริมน้ำปาย เพราะมีน้ำท่วม ที่ดินไม่มีราคา มีแต่คนทุกข์ (คนจน) ที่อยู่เท่านั้น
ปัจจุบันแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ที่ดินริมน้ำมีราคาแพง ใช้สร้างที่พัก เพื่อรับนักท่องเที่ยว มีรถตู้วิ่งระหว่างปายอย่างน้อย2สาย นอกเหนือจากรถประจำทาง ปายที่หลับหัวค่ำเดี๋ยวนี้ไม่หลับแล้ว ตื่นอยู่ 24 ชั่วโมง มีเซเว่นอีเลเว่น 2 แห่ง ร้านอาหารมากมาย การค้าขายคึกคัก ผู้คนเดินและเดินตลอดเวลา ไม่เงียบสงบอย่างเดิม

มีคนบอกว่าปายกำลังก้าวไปเป็นภูเก็ตอีกแห่งหนึ่ง ความเป็นปายกำลังถูกเปลี่ยนแปลง (เช่นนั้นหรือ)


(ภาพปายบนถนนสายกลางที่ผ่านหน้าธนาคารกรุงไทยสาขาอำเภอปาย)

ปายอยู่ในหนังสือนำเที่ยวของต่างประเทศมานานแล้ว เป็นที่รู้กันในหมู่นักแสวงหาธรรมชาติที่ต้องการสัมผัสความบริสุทธิ์
ปัจจุบันปายยังเป็นที่เล่าขานต่อไป นักท่องเที่ยวบางคนมาแล้วมาอีก และนำเพื่อนมาด้วย ปายที่ฝันใฝ่ของนักเดินทาง มีนักเดินทางหลากหลายมากมายอยู่ในปายที่เปลี่ยนไป



(ภาพรถขายเครื่องดื่มบนถนนคนเดินใกล้กับวัดป่าขาม
รับรองได้ว่าไม่ใช่ผลิตผลของอำเภอปาย)

(ภาพของที่วางขายริมทางเดินซึ่งไม่แตกต่างจากที่อื่นๆ
คือเป็นของที่ระลึกที่ไม่ได้ทำในพื้นที่ไม่ใช่ของอำเภอปาย)


หากแต่ความหมายในใจของนักท่องเที่ยวที่มีต่อปายยังไม่เปลี่ยนไป
คนปายย้ายออกไปนอกเมือง ขณะที่คนเมืองอื่นมาค้าขายที่ปาย
คนที่อื่นชื่นชมกับปายในมิติใด คนปายขมขื่นกับปายในมิติใด
วัฒนธรรมที่เป็นทุนของปายอยู่ที่ใด
วัฒนธรรมนั้นรับใช้คนปาย หรือคนปายรับใช้วัฒนธรรมนั้น
วัฒนธรรมนั้นคนที่อื่นได้ใช้เพียงใด หรือวัฒนธรรมนั้นใช้คนที่อื่นด้วย

(ภาพของที่วางขายริมถนนคนเดินของปาย)

ไม่มีใครค้นหาเพราะไม่สำคัญกับชีวิตเช่นนั้นหรือ การเดินทางคราวนี้ยังไม่สิ้นสุดเพราะต้องไปที่ปายอีกหลายครั้งในรอบปีนี้

(ผมชอบรูปช้างที่เป็นส่วนหนึ่งของที่ใส่ของติดผนัง)


ไปบนเส้นทางที่กำลังอยู่ระหว่างซ่อม ซ่อมโดยไม่มีความปลอดภัย ดังนั้นใครจะไปปายช่วงนี้ควรระมัดระวังในการเดินทางอย่างยิ่ง หากขับรถไปเองต้องระมัดระวังตัวเอง

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสติ สมาธิ และความเกื้อกูลกันในเส้นทางที่ไม่ปกติ

ขอความสวัสดีจงมีแด่ผู้ชอบเดินทางหรือต้องเดินทางทุกคน



วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2550

คุณค่าที่เหลืออยู่

คุณค่าแห่งตนคือผลที่ตนทำ ตนมักสับสนในคุณค่าที่รู้สึกได้
คุณค่าที่มาจากตน คือศักดิ์ศรี ตนต้องทำเอาเองจึงจะมี
คุณค่าที่มาจากคนอื่น คือเกียรติ คนอื่นเป็นคนให้จึงจะมี
หากสนใจในศักดิ์ศรี ตนจึงประพฤติ ปฏิบัติในแนวทาง หลักการแห่งความเจริญ ด้วยความคิดนั้น ปฏิบัติ จนเกิดผล วนเวียนเป็นรหัสกรรมที่ส่งให้มีศักดิ์ศรี มีความเป็นตนที่มีคุณค่า ตนต้องทำเอาเอง ตนจึงมีศักดิ์ศรี
หากสนใจในเกียรติ ตนจึงประพฤติ ปฏิบัติในแนวทาง หลักการแห่งผู้ที่ตนต้องการได้รับเกียรติ บนแนวทาง หลักการของเขา วนเวียนเป็นรหัสกรรมที่ส่งให้กระทบใจเขาจนเขาเห็น เขาเป็นคนให้ ตนจึงมีเกียรติ
หากหลักการ แนวทางเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่แนวทางเดิม จะคงเกียรติไว้ ตนต้องเข้าใจ และตามความเปลี่ยนแปลงให้ทัน เพื่อนำมาปฏิบัติวนเวียนเป็นรหัสกรรมที่ส่งให้กระทบใจเขาจนเขาเห็น เขาเป็นคนให้ ตนจึงมีเกียรติ
เหนื่อยยากกับเกียรตินี้เพียงเพื่อสนองเกียรติอันมาจากภายนอก ไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงไป



ถ้วยเซรามิคอันสวยงาม มีคุณค่าอยู่ในตัว
หากเมื่อแตก ประโยชน์ใช้เป็นถ้วยนั้นจึงหมดไป
แต่ความสวยงามในเศษเสี้ยวยังคงอยู่
เมื่อนำมาประกอบเป็นของสวยงามยังมีประโยชน์ที่ใช้ในด้านอื่น
ด้วยปัญญาแห่งคน จึงสร้างคุณค่าใหม่ จากประโยชน์ใหม่ได้อย่างดี
คุณค่าของเซรามิคนี้อยู่ที่คนให้ เซรามิคย่อมมีคุณค่าในตน
ความหมายที่คนไปให้ยังเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น
คุณค่าย่อมมีอยู่ทุกที่
ด้วยการกระทำของตน บนแนวทาง หลักการแห่งความเจริญ

อดีตของปัจจุบัน


อดีตเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
กำลังแห่งสังขารย่อมเปลี่ยนแปลงไป
แม้ชีวิตเลยวัยแห่งความฝัน
แต่การเดินทางยังไม่สิ้นสุด
เป้าหมายยังไม่บรรลุ
หนทางยังยากลำบาก
อดทน
ขยัน
ซื่อสัตย์
กตัญญู
อยู่ด้วยความเข้าใจ... จะได้ไม่ต้องอดทน
อยู่ด้วยการกระทำที่ไม่ละวาง... จะได้ไม่ต้องขยัน
อยู่ด้วยการไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น... จะได้ไม่ต้องซื่อสัตย์
อยู่ด้วยความนอบน้อมตอบแทนสิ่งที่ท่านได้กระทำให้แล้ว จะได้ไม่ต้องกตัญญู
เข้าใจความหมายของอดีตแห่งปัจจุบัน บรรลุถึงเป้าหมายทุกครั้งที่ลงมือทำ ไม่มีความยากลำบาก

ในห้องกับเวลาที่มี

เวลาที่ชีวิตอยู่คนเดียวในห้องที่คับแคบ

---ชีวิตโดดเดี่ยวด้วย-----ความดี
เหมือนนั่งในกุฎี----------พระเจ้า
สงบว่างวิถี---------------ธรรมผ่อง
กรรมเร่งวัฏฏะเร้า--------โลกย์ด้วยสุขเกษม

ความสุขมีทุกที่ ที่ไม่มีตัวเรา

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2550

ชีวิตที่จำได้

จากปายสู่ลำปาง ในวันที่ 5 มีนาคม 2550ไปและกลับอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนเกือบทุกครั้งไปด้วยรถส่วนตัว มีเพียงครั้งเดียวก่อนหน้านี้ที่เดินทางกลับด้วยรถประจำทาง คราวนั้นได้เดินทางกลับโดยสารรถประจำทางปรับอากาศ และเดินทางไปด้วยรถตู้ มีความสะดวกพอประมาณ แต่ภรรยามีประสบการณ์เดิมว่าการเดินทางระหว่างปายและเชียงใหม่เป็นความทุกข์ทรมาณพอสมควร พอเราจะต้องเดินทาง จึงห่วงว่าจะไม่มีความสะดวก และเสนอให้เอารถกลับ ตั้งใจแล้วว่าจะไม่เอารถกลับจึงแน่วแน่ไปที่ท่ารถ แม่ยายบอกแล้วว่าให้ ไปจองตั๋วไว้ก่อนตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2550 ที่ไปถึง แต่ไปแค่ดูแล้วไม่ได้จอง จึงไม่ได้กำหนดว่าต้องไปเวลาใดวันที่ 5 มีนาคม 2550 เวลา 8:00 น. ไปที่สถานีขนส่งอำเภอปาย นายสถานีได้บอกว่ารถตู้เต็มทุกเที่ยวไม่ สามารถไปได้ด้วยรถตู้ที่ดูเหมือนสะดวกสะบายที่สุดในการเดินทางระหว่างปายและเชียงใหม่ กลับมาบ้านแม่และทำใจต้องไป ตามที่ตนมีโอกาสจะไปได้
เวลา 9:00 น. เตรียมตัวแต่งตัว พบว่ากุญแจบ้านยังไม่ได้นำมาด้วย ทำให้ภรรยาห่วงใยมากขึ้นไป อีก ด้วยปักใจว่าผมเป็นคนชอบลืมและไม่รอบคอบ ค้นหาจนเจอเจอจากความรอบคอบเกินไป กุญแจอยู่ในเสื้อคลุมของผมเอง และผมจำได้เอง
10:00 น. ไปถึงสถานีขนส่งอีกครั้งมีรถประจำทางไม่มีเครื่องปรับอากาศกำลังจะออก ขึ้นไปนั่งและ
ลาภรรยาและบุตร
10:30 น. รถออกเดินทางจากอำเภอปาย ล้อหมุน ค่าโดยสาร 72 บาท
ระหว่างทางเด็กรถที่เก็บค่าโดยสารนั่งบนฝาปิดเครื่องยนต์สนทนากับคนขับ เขากำลังฝึกหัดเป็นคนขับรถโดยสอบถามถึงวิธีการขับ ข้อควรระวังเมื่อขับรถ ผมเห็นความรู้ที่ไม่มีสอนในหนังสือใด เลื่อนไหลถ่ายเทจากผู้ทำงานขับมาเป็นระยะเวลานาน เป็นความรู้จากการทำจริงและได้ความรู้จริงจากการทำ ไหลจากพนักงานขับที่เป็นผู้ให้ไปสู่เด็กรถผู้ใฝ่รู้ เพื่อนำไปทำจนเกิด เป็นความรู้ในตน ผมเข้าใจว่าโลกย์เราอยู่มาได้เพราะมีความรู้ที่ถ่ายทอดเช่นนี้จากรุ่นสู่รุ่นโดยไม่รู้จักการจัดการความรู้แบบตะวันตกแต่อย่างใด นอกจากผู้รู้ที่เป็นคนขับได้ถ่ายทอดให้เด็กรถผู้ใฝ่รู้แล้ว ยังมีพระสงฆ์เปรียญหก (ทราบจากการสนทนา ระหว่างพระสงฆ์ด้วยกันซึ่งเดินทางด้วยกัน 3 รูป) ซึ่งเคยเป็นพนักงานขับรถมาก่อนได้ร่วมให้กำลังใจและความรู้แก่เด็ก
รถด้วย เด็กรถคนนี้จึงโชคดีที่มีคนให้ความรู้กับเขาในหลายด้าน ผมเห็นว่าความใฝ่รู้เป็นเครื่องมือที่ทำให้คนได้ความรู้และ แสวงหาความรู้ได้ด้วยใจรัก
เวลา 12:05 น.รถพักที่แม่แสะรับประทานอาหาร ตามกำหนดรถจะพัก 15 นาทีตามที่เขียนไว้หน้ารถ แต่พนักงานขับรถบอกว่าเราจะพัก 20 นาที เขาให้เหตุผลว่า 15 นาที ตามกำหนดทำให้คนโดยสารเครียด ทานอาหารไม่ทัน เป็นต้นเหตุให้พนักงานขับเครียดด้วย เขาว่าเราไม่ควรเดินทางบนความเครียด
ความเครียดทำให้เราไม่มีความสุข ทุกขณะที่ลำบากถ้าเรามีความสุขจะไม่รู้ว่าลำบาก
ทานอาหารแล้วเสร็จ 12:30 น. จึงได้ออกเดินทางอีกครั้ง เกินเวลาไป 5 นาที เป็นเวลาที่มีค่า 5 นาทีที่เสียไป ทำให้คนไม่เครียด
ดีจริงๆ กับอุบายของพนักงานขับรถ ดีจริงๆ เป็นความจริงที่ดีมากที่ได้ผ่อนคลาย
สอบถามพนักงานขับรถว่าถึงเชียงใหม่เวลาไหน ได้คำตอบว่า ประมาณ 14:30 น.เส้นทางช่วงนี้แห้งแล้งตามฤดูกาลนั่งเงียบ งีบหลับบ้าง คิดถึงครอบครัวที่พึ่งจากมารู้สึกเดียวดายบนเส้นทาง
บนเส้นทางเดียวดาย มีเพียงความห่วงใยที่หล่อเลี้ยง ความห่วงใยของเรา ความห่วงใยของครอบครัว ความห่วงใยซึ่งกันและกัน คนจึงไม่เดียวดายด้วยสายใยแห่งครอบครัว
13:50 น. รถถึงแม่มาลัย มีชาวต่างชาติลงหลายคน เพื่อเดินทางไปยังแม่แตง ฝาง และที่อื่นๆ พนักงานขับรถมีอัธยาศัยดีมากเขาช่วยเอาของลง แนะนำด้วยภาษาอังกฤษที่ชาวต่างประเทศฟังแล้วรู้เรื่อง14:00 น.รถจึงออกเดินทางไปเชียงใหม่ หลับบ้างตื่นบ้างถึงเชียงใหม่ 14:35 น.
เชื่อมความห่วงใยโดยโทรศัพท์บอกภรรยา ให้คลายกังวลและทำให้ความห่วงใยกลับมาอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ของแต่ละคน
แล้วเสร็จเข้าห้องน้ำ 3 บาทสำหรับการถ่ายทุกข์ เวลา 14:50 น. เข้าแถวรอซื้อบัตรโดยสาร รถทัวร์ปรับอากาศชั้นสองเพื่อจากเชียงใหม่มาลำปาง15:00 น. ออกเดินทางมายังลำปาง ผู้เอื้อเฟื้อมารับโทรศัพท์มาถามการเดินทางด้วยความห่วงใย หลับๆ ตื่นๆ มาถึงลำปางเวลา 16:45 น. ผู้เอื้อเฟื้อมารับโทรศัพท์มาแจ้งว่ามารอแล้ว ความห่วงใยของเขาทำให้เราเกรงใจ เดินทางกลับบ้านพร้อมกับเขาดีใจสำนึกในความห่วงใยของเขา ซาบซึ้งและขอบคุณ ขอบคุณและติดค้าง ติดค้างเพื่อจะชดใช้อย่างตั้งใจ
เวลา 17:30 น. ส่งความห่วงใยให้ภรรยารับรู้ การเดินทางของวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว แต่การเดินทางของชีวิตยังคงอยู่ดำเนินต่อไปความห่วงใยเป็นเหตุให้ผลแห่งความดำรงอยู่ของคนดำเนินไปด้วยความสมัครสมานสามัคคี มีความดีเลี้ยงหล่อและเป็นเครื่องจรรโลงให้โลกดำเนินไปด้วยดี
บทเรียนจากการเดินทางที่เดียวดาย คือคนไม่มีวันเดียวดาย เรามีเพื่อนร่วมเดินทางในขณะที่เราไม่คิดว่าเขาเป็นเพื่อนเดินทาง เราเดินทางไม่เฉพาะแต่จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งเท่านั้น ขณะที่เราเดินทางถ้าเราปิดกั้นตัวเองจากสภาพแวดล้อม เราจึงเดียวดาย แต่เราวุ่นวายภายใน เราเดินทางภายในพร้อมเดินทางภายนอก อย่าถามว่าเราได้อะไรจากการเดินทาง จงบอกว่าเราให้อะไรกับการเดินทางบ้าง
อย่าหวังว่าจะได้ จงให้
(ดัดแปลงจากประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่ว่า "อย่าถามว่าประเทศชาติได้ให้อะไรกับเรา แต่จงถามว่าเราให้อะไรกับประเทศชาติบ้าง"ชอบครับ)

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2550

การเดินทางในชีวิตที่เหลืออยู๋

วันเวลาที่ผ่านมา อยู่ในความหยุดนิ่ง ไม่ก้าวหน้า ไม่ถอยหลัง
วันนี้มีหนทางใหม่ที่ต้องเดินไป ยังไม่รู้จะเผชิญอะไรบ้าง
ไม่หวั่นกลัว ไม่ท้อถอย โอกาสมาถึง จึงเลือกเพราะถูกเลือก
จะไปต้องมีสติ เมตตา ปัญญา ขันติ
สติ คือ ไม่ตอบสนองด้วยสัญญา และอารมณ์
สัญญา ความจำเดิม
อารมณ์ ความอ่อนไหวไปกับสิ่งแวดล้อม
เมตตา คือ ไม่เบียดเบียน
เบียดเบียน การทำลาย ทำร้าย ผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ
ปัญญา คือ มีความรู้
ความรู้ในเรื่องที่จะทำงาน รู้จักคน และสภาพแวดล้อม
ความรู้ เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล ประชุมชน
ขันติ คือ อดทน อดกลั้น
อด จากสิ่งที่ชอบ ทน ต่อสิ่งที่ไม่ชอบ
กลั้น กั้นอันตราย และกลั่นการตอบสนองด้วยปัญญา
หยุดไม่ได้ จะต้องไป บนทางที่เลือก เพราะถูกเลือก
ด้วยจิตคารวะ และนอบน้อมอย่างที่สุด