วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ฝันถึงแม่อีกครั้ง 14 ธันวาคม 2551

เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 14 ธันวาคม 2551 ผมได้ฝันถึงแม่อีกครั้ง
ผมได้สวดมนต์ และอุทิศส่วนบุญกุศลที่มี ที่ได้ทำแล้ว ในปัจจุบัน และอดีต
ให้แก่ แม่ พ่อ พ่อเทพ คุณลุงวงศ์ คุณป้านอม ทุกคืน ท่าน ทั้งห้ามีพระคุณมาก
มีพระคุณที่ได้ให้กำเนิด เลี้ยงดู ให้การศึกษา จนผมมีวันนี้ในปัจจุบันได้
ผมทำบุญทุกครั้งจะได้อุทิศให้ท่านทั้งห้าทุกครั้งไป
ด้วยเดขะผลบุญแห่งการนอบน้อมนี้
ขอให้เป็นกำลังเป็นปัจจัย
ส่งให้ผมได้ทำความดีต่อไปด้วยเทอญ

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แม่มาหาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2551

ตั้งแต่แม่จากผมไป เมื่อ 2 มิถุนายน 2550 ผมไม่เคยฝันถึงแม่เลย
เมื่อคึนผมฝันว่าได้นอนกับแม่ แม่บอกว่าแม่กับพ่อเป็นคนขอบโกรธเหมือนกัน อยู่ด้วยกันยาก เลยมานอนกับผม
รักแม่มาก ความรู้สึกไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรมากไปกว่า ได้สัมผัสกับความรักของแม่อีกครั้ง

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

งานแสนสุข : ความเพริดเพลินในการทำงาน

ทุกวันนี้เมื่อมองไปรอบข้างเห็นสีหน้าผู้ร่วมงานดูไม่มีความสุขกับการทำงานเท่าใดนัก มีร่องรอยความทุกข์อยู่ในใบหน้า ความกังวลความเครียดปรากฏแทนความสดใส ความยิ้มแย้มแจ่มใสหายไปจากใบหน้า โลกทั้งโลกจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม

ทำไมคนเราจึงไม่มีความสุขกับการทำงาน ทั้งที่การงานเป็นเรื่องแสนสุข

น้องคนหนึ่งบอกว่า “พี่รู้ไหม ทุกวันนี้หนูไม่อยากมาทำงานเลย ไม่รู้อะไรวันๆมีแต่เรื่อง เดี๋ยวเรื่องคนโน้นจะเอาอย่างนั้น เรื่องคนนั้นจะเอาอย่างนี้ นายหนูก็ไม่สนใจว่าหนูจะเป็นอย่างไร อยากสั่ง สั่ง สั่ง เปลี่ยนได้ทุกนาที หนูละกลุ้มใจจริงๆ”

น้องอีกคนหนึ่งบอกว่า “พี่หนูสนุกกับงานของหนูนะ แต่ทำไมนายหนูสั่งงานอย่างนี้ หนูละไม่เข้าใจเลยว่า เขามาเป็นนายได้อย่างไร ไม่รู้เรื่องงานของหนูเลย หนูละเบื่อ”

สิ่งที่ปรากฏนั้นคือการไม่สบายใจ ความเป็นจริงในงานไม่เป็นไปตามที่ใจของผู้ทำงานคิดและคาดหวังไว้ การทำงานจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ ตีบตันทางอารมณ์ และคับแคบทางความคิด ผลของงานจึงลดด้อยคุณภาพไปด้วย

หากทุกคนทำงานอย่างไม่มีความสุข ผลงานของหน่วยงานนั้นโดยรวมย่อมลดด้อยคุณภาพไปด้วย
นอกจากสภาพแวดล้อมของการทำงานแล้ว การปรับเปลี่ยนองค์กรจากสถานะหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่งก็สร้างแรงกดดันให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้ เช่น การที่ กฟผ. เปลี่ยนจาก รัฐวิสาหกิจ เป็น องค์กรธุรกิจ เป็นต้น ความต้องเปลี่ยนแปลงทำให้ผู้ปฏิบัติงานไม่แน่ใจในสถานภาพของตนเอง ความมั่นคงในใจย่อมลดน้อยลงเป็นธรรมดา

เมื่อต้องทำงานแม้จะเป็นงานที่ไม่ชอบ แม้เป็นงานที่ไม่ถนัด แม้เป็นงานที่ไม่ต้องการจะทำ แม้ต้องอยู่ท่ามกลางความกดดันหลายด้าน ทำอย่างไรจึงจะทำงานนั้นๆ ได้อย่างมีความสุข

ส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่จะต้องพยายามจัดสภาพแวดล้อมทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ให้เหมาะสมกับการทำงานของผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ เครื่องอำนวยความสะดวก อีกส่วนหนึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติที่จะพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการทำงานของตนเอง

ไม่มีสูตรสำเร็จใดจะบอกได้ว่า การพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อการทำงานของแต่ละบุคคลจะใช้วิธี หรือเครื่องมือใดทำให้ประสพผลสำเร็จได้และเหมาะสมที่สุด

ความเพลิดเพลินในการทำงาน เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ทำให้เรามีความสุขในการทำงานได้ การทำอะไรอย่างมีความสุข บนสติ มีความเชื่อมั่นรักและศรัทธาในสิ่งที่ต้องทำ และได้ทำด้วยปัญญา อย่างมีความเพียรพยายามทำให้เราประสพผลสำเร็จในการทำงานได้อย่างดียิ่ง

ความเพลิดเพลินในการทำงาน เป็นสิ่งที่ช่วยให้งานยากๆ งานที่น่าเบื่อ งานที่ไม่ต้องการทำ งานที่อยู่ท่ามกลางความกดดัน งานเหล่านั้นจะสำเร็จได้อย่างมีคุณภาพ

ผู้ปฏิบัติงานที่มีความเพลิดเพลินในการทำงานจะผ่านเวลาในการทำงานอย่างรวดเร็ว มีความต้องการทำงานนั้นอีกอย่างไม่รู้เบื่อ มีความสนุกสนานในการเผชิญปัญหา บรรลุวัตถุประสงค์ของงานได้ทุกกระบวนงาน มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานและการพัฒนางาน

เราจะมีความเพลิดเพลินในการทำงานได้ด้วยการมีท่าทีต่อสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจในความเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ อย่างที่มันเป็นอยู่ ในที่นี้ใคร่ขอเสนอท่าทีต่อสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ทำงานได้เพลิดเพลินสักห้าประการ เป็นสูตรสู่ความเพลิดเพลินในการทำงาน

ประการแรก ท่าทีต่อโลกตามที่เป็นอยู่ ประการที่สอง ท่าทีต่อความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ ประการที่สาม ท่าทีต่องานตามที่งานควรเป็น ประการที่สี่ ท่าทีต่อเพื่อนร่วมงาน และประการสุดท้าย ท่าทีต่อคำพูด หรือความเห็นของผู้อื่นในสังคม

หรือสรุปง่ายๆ คือ เห็นโลกตามจริง ทุกสิ่งธรรมดา งานพาชีวิต มุ่งมิตรมากมาย หลากหลายวิจารณ์

ความเพลิดเพลินในการทำงานนั้นเป็นสิ่งที่สร้างได้ ทัศนคติที่ดีต่อการทำงานก็เป็นสิ่งที่สร้างได้เช่นเดียวกัน ถ้าเรามีความเชื่อมั่น มุ่งมั่นพยายามด้วยสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นไปเพื่อตัวเราเองที่ดี และส่งผลต่อสังคมที่ดีต่อไปด้วย สงครามและความทุกข์ในใจเราจะสงบลง ความเบื่อหน่ายจะหมดไปมีแต่ความเพลิดเพลินในใจ ความสุขเป็นที่หวังได้ทั้งในวันนี้และวันต่อๆ ไป

ขอให้มีความเพลิดเพลินในการทำงานทุกคนครับ

งานแสนสุข : เห็นโลกตามจริง

วันคืนผ่านไปเร็วยิ่ง เป็นความสุขของชีวิตที่ได้เติบโตและใช้เวลาอันสั้นให้มีค่า มีความสุข กับหน้าที่การงาน ที่ได้ทำอย่างเต็มกำลัง

ความสุขเป็นสิ่งที่เราต้องการ และเป็นผลจากเหตุที่เราเป็นผู้กระทำ การทำงานให้เป็น งานแสนสุข นั้นทำได้หลายหนทาง และแนวทางที่นำเสนอนี้ เป็นเพียงแนวทางหนึ่งในหลายหลายทางนั้นนะครับ

ผมนำเสนอว่าเราควรมีท่าทีต่อสิ่งต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้องห้าประการคือ เห็นโลกตามจริง ทุกสิ่งธรรมดา งานพาชีวิต มุ่งมิตรมากมาย หลากลายวิจารณ์ ท่าทีของเราต่อสิ่งรอบข้างจะทำให้เรามีความสุขในชีวิตการทำงานได้ งานทั้งหลายจะเป็น งานแสนสุข ครับ

ก่อนอื่นทำความเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า โลกที่เราจะพูดกันนี้ เป็นโลกเรารับรู้ได้ทั้งกายและใจ อยู่แวดล้อม และมีผลต่อเรา ความเป็นจริงในโลกจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา มีคนเคยแบ่งโลกนี้เป็นสองระดับ เรียกยาก ๆ ว่า โลกุตระ และ โลกียะ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ความจริงแท้ และความจริงเทียม

ความจริงแท้นั้น แท้แน่ๆ ครับ คือ ความจริงมีอย่างไรจะเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ความจริงเทียมนั้น อย่างไรมันก็ไม่จริง พักไว้ก่อนที่จะปวดหัว และไม่มีความสุขนะครับ

หันมามองดูโลกนี้ โลกประกอบด้วยมนุษย์มากมาย มนุษย์แต่ละคนก็เป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไม่มีใครเหมือนใครแม้แต่ฝาแฝด ทุกคนเป็นคนพิเศษ แต่ในจิตใจของมนุษย์มีสิ่งที่เหมือนกัน คือ ต้องการ ความรัก ความเข้าใจและการยอมรับ แม้ความคิดอื่น ๆ ของเราจะแตกต่างกัน แต่พื้นฐานสามประการนี้ ยังคงเหมือนกัน

นอกจากนั้น มนุษย์ในโลกนี้ และสิ่งแวดล้อมตัวมนุษย์ ยังคงเกี่ยวสัมพันธ์กัน อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เราทำอะไรลงไปย่อมกระทบถึงกันไปทั้งหมด ใส่ความดีลงไป ความดีจะส่งผลไปทั้งจักรวาล และตรงกันข้ามถ้าใส่ความไม่ดีลงไปจะส่งผลกระทบไปทั่วเช่นเดียวกัน

อีกประการหนึ่ง สิ่งต่าง ๆ ที่เรามองเห็น รับรู้ได้จะมีความจริงสามลักษณะที่ซ้อนกันอยู่ ตราบเท่าที่เราและคนอื่นยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ความจริงสามลักษณะคือ

เราในลักษณะอย่างที่เราคิดว่าเราเป็น
เราในลักษณะอย่างที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น
และเราในลักษณะเป็นไปตามที่เราเป็นจริง ๆ

มองไปรอบๆ ซิครับ ทุกวันนี้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะทุกฝ่ายเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นไม่ตรงกัน ผลตามมาจากความขัดแย้งคือ การเบียดเบียนกันและกัน ที่ใดมีการเบียดเบียนที่นั่นไม่มีความสุขนะครับ เพื่อความสุข ลองอ่านนิทานสักเรื่องนะครับ

นิทานเรื่องนี้ กล่าวถึงอาจารย์เซ็นรูปหนึ่ง(พระในประเทศญี่ปุ่น) มีโยม ก. มาปรึกษาพร้อมกับกล่าวโทษโยม ข. แล้วสรุปว่า โยม ข. ไม่ดี เมื่อโยม ก. กล่าวจบอาจารย์ฟังแล้วจึงให้ความเห็นว่า “ถูกของโยม”
พอโยม ก. กลับไป โยม ข. ทราบข่าวจึงรีบมาหาอาจารย์ เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังและกล่าวหาโยม ก. ว่าไม่ดีเช่นกัน เมื่ออาจารย์ฟังจบจึงให้ความเห็นว่า “ถูกของโยม”
โยม ข. กลับไปแล้ว เณรน้อยที่นั่งฟังทั้งโยม ก. และ โยม ข. ไม่เข้าใจในคำตอบของอาจารย์ กล่าวกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ครับ น่าจะมีใครถูกสักคนนะครับ” อาจารย์จึงตอบเณรว่า “ถูกของเณร”
นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยประการฉะนี้ ครับ


ผมขอเสนอมุมมองว่า ไม่ว่าจะมีเราหรือไม่ สิ่งต่างๆ รอบตัวเราจะเป็นอยู่อย่างนั้น ทุกวันนี้เราให้ความหมายต่อสิ่งต่างๆ อย่างที่เราอยากให้เป็น เราวัดและตั้งมาตรฐานวัดทุกสิ่งในโลก เราแบ่งมันเป็นสิ่งต่างๆ แต่เราไม่ได้รู้จักโลกตามที่มันเป็น

ถ้าเราหยุดใส่ความคิดเข้าไปในสิ่งต่างๆ หยุดวัด หยุดแบ่ง เราจะมีความสุขในการเป็นอยู่ในโลกที่เป็นไปด้วย การเบียดเบียนนี้ เราควรรับรู้โลกตามที่เป็นอยู่ รับรู้ผู้อื่นตามที่เป็นอยู่ เข้าใจและยอมรอบรับเขา สงครามในใจเราจะสงบลง เราทุกคนยังต้องเกี่ยวข้องกัน ในช่วงเวลาของการทำงานร่วมกัน โปรดให้ให้ความรัก อย่างแท้จริง เอื้ออาทรแก่กันอย่างจริงใจ แล้วก้าวไปในชีวิตการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เป็นสิ่งที่มีความหมายตามที่สังคมมนุษย์กำหนด และคาดหวังว่าเขาจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ความจริงคือเขาเป็นอยู่อย่างที่เขาเป็นนั่นละครับ อย่าไปคาดหวังว่าจะต้องเป็นไป ตามที่สังคมมนุษย์คิดครับ

ในโลกที่เบียดเบียนนี้ นอกจากอันตรายจากธรรมชาติแล้ว มนุษย์ยังสร้าง เงินทอง ชื่อเสียง และอำนาจ ขึ้นมาเพื่อทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เราสามารรถป้องกันได้ครับ ด้วยเครื่องมือดังต่อไปนี้ คือ รู้จักพอ มีความรักที่แท้ และไม่คิดเป็นใหญ่ในโลก

สิ่งที่นำเสนอนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นพื้นฐานของความสุขได้ เมื่อโลกเต็มไปด้วยความเบียดเบียน ต่อสู้ด้วยความรักที่แท้ การเบียดเบียนจะไม่เกิดขึ้นความสุขจะตามมา อันเงินทอง ชื่อเสียง และอำนาจ ต่อสู้ได้ด้วยการรู้จักพอและไม่คิดเป็นใหญ่ในโลก

มุ่งมิตรมากมาย : 3

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เมื่อเวลาผ่านไปเราได้เรียนรู้จากการสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบข้างเรา และที่สำคัญอย่างยิ่งคือผู้คนที่แวดล้อมเรา มิตรพัฒนาจากผู้คนที่แวดล้อมตัวเรา

เริ่มจาก รู้จัก คุ้นเคย ชอบพอ สนิทสนม แล้วมีพัฒนาการต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง บางครั้งความ สนิทสนม จะพัฒนาต่อไปเป็น แนบแน่น อย่างชนิดที่เรียกว่า ตายแทนกันได้ หรือบางครั้ง พัฒนาต่อไปเป็น แตกแยก อย่างชนิดที่เรียกว่า ตายก็ไม่ยอมไปเผาผี รอยเชื่อมและรอยแยกเกิดขึ้นระหว่างเวลา ของการสัมผัสสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น

จิตใจที่เคลื่อนไหวไปเชื่อมเราเข้าด้วยกันหรือแยกเราออกจากกัน หากเราคิดจะเชื่อมเราเข้ากับผู้อื่น การสัมผัสสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างจะเป็นไปในทางเปิดเข้าหา จากรู้จักกันจะทำความเข้าใจกัน ทดสอบการเข้ากันได้ แม้ว่าจะมาจากสถานที่ที่แตกต่างกัน มีความเชื่อ ความรู้ที่ถูกเพาะบ่มมาท่ามกลางชีวิตที่เติบโตขึ้นในครอบครัวและสังคมที่ไม่เหมือนกัน เราต่างเปิดเผย รับรู้ ศึกษา แล้วสงวนความแตกต่าง เสริมความเหมือน นำไปสู่ความเข้าใจกัน เมื่อเข้าใจกันรอยเชื่อมขยาย สัมผัสสัมพันธ์กันมากขึ้น รู้จัก คุ้นเคยกันมากขึ้น ถ้าเข้ากันไม่ได้รอยแยกปรากฎต่างคนต่างกลับสู่สังคมของตนปิดตัวตนจากกันและกัน

การยอมรับซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความคุ้นเคย การชอบพอและสนิทสนม เชื่อมสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อการสัมผัสสัมพันธ์กันดำเนินไปบนระยะเวลา หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เราและเขาต่างผ่านผู้คน สถานที่ ในวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต ชีวิตที่เริ่มจากครอบครัว ผ่านวัยเรียน มุ่งสู่วัยทำงาน และสุดท้ายที่วัยหลังการงาน จนกว่าจะจบด้วยความตาย บนเส้นทางนั้น เราเรียนรู้ สะสมความรู้และประสบการณ์มากขึ้น มีความรู้สึกและการคาดเดาปะปนอยู่ในความเป็นจริงที่ผ่านมารวบรวมเป็นความเห็นเป็นตัวตนของเรา
บางคนสะสมความเห็นมากขึ้นจนเป็นปราการแข็งแกร่งที่จะเปิดเผยตัวตน หรือบางคนเปิดเผยตัวตนมากเกินไปจนเป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้คนรอบข้าง ความเห็นที่มากขึ้นจนเป็นความเกินไปย่อมไม่เกิดผลดี ความพอดีของการผสมความรู้ประสบการณ์และความเห็นที่สมดุลกลมกลืน ทั้งส่วนของตนและสามารถขยายกลมกลืนกับผู้คนรอบข้างย่อมสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืน งอกงามและงดงาม เต็มเปี่ยมด้วยความสุข


บางครั้งเมื่อเราต้องสัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใหญ่หลายๆ คน เราจะพบว่า บางคนน่าเกรงขามดูมีบารมี บางน่าเกรงกลัวดูเย็นชา บางคนอบอุ่นน่าอยู่ใกล้ เบื้องหลังผู้ใหญ่เหล่านั้นคือ ความรู้ ประสบการณ์และความเห็น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับสถานที่และสังคมบนกาลเวลาที่ผ่านไป

บางครั้งเมื่อเราต้องสัมผัสสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง เราจะพบว่าบางครั้งยังไม่ทันสนทนาเลย เรารู้สึกไม่ชอบไม่ถูกชะตากับคนนี้เลย หรือรู้สึกชอบถูกชะตามีความรู้สึกที่ดีให้กับคนนั้น สัมผัสครั้งแรกของเรา นำไปสู่สัมพันธ์ที่จะตามมา สัมผัสของเรานั้นมี ความรู้ ประสบการณ์ และความเห็นของเราอยู่เบื้องหลัง

ในการสัมผัสสัมพันธ์ของผู้คนย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้ ประสบการณ์ และความเห็นทั้งสิ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้กำหนดเส้นทางของรอยแยกและรอยเชื่อมของสัมพันธภาพของผู้คน

ความรู้ที่นำไปสู่มิตรภาพ ได้จากมิตรภาพที่ดี
ประสบการณ์ที่นำไปสู่มิตรภาพ ได้จากมิตรภาพที่ดี
ความเห็นที่นำไปสู่มิตรภาพ ได้จากมิตรภาพที่ดี
มิตรภาพที่ดีได้จากการให้มิตรภาพที่ดี
มิตรภาพที่ดีให้ได้จากใจที่ดี
ใจที่ดีย่อมเกิดจาก ความรู้ ประสบการณ์ และความเห็นที่ดี
ความรู้ ประสบการณ์ และความเห็นที่ดีเกิดจาก การตั้งใจมั่น บนความต้องการที่แท้จริง ด้วยความพยายามอย่างไม่ละวาง ในการรักษาเพิ่มพูนสิ่งดีๆในชีวิต และระวังละเว้นสิ่งไม่ดีไม่ให้เข้ามาในชีวิตได้


แล้วสิ่งดีๆในชีวิตคืออะไร เราทุกคนต่างแสวงหาสิ่งดีๆ ในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น แต่มาตรฐานความดีในชีวิตของเราไม่เป็นเช่นเดียวกัน แต่ละศาสนา แต่ละความเชื่อมีมาตรฐานให้เราเป็นแบบอย่างของสิ่งดีๆในชีวิตมากมาย การปฏิบัติบนความเชื่อที่สั่งสมด้วยความรู้ที่พัฒนาเพิ่มพูนในแต่ละวัยของชีวิตย่อมนำเราไปสู่สิ่งดีๆ เหล่านั้นได้

สิ่งดีๆ ในทุกศาสนา ทุกความเชื่อที่จรรโลงสังคมให้เป็นปกติสุขได้มีความเหมือนกันบนความไม่เบียดเบียนทำร้ายกันและกัน และมุ่งมั่นให้เชื่อถือความเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ของทุกผู้คนอย่างแท้จริง

เมื่อสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต ความรู้ ประสบการณ์และความเห็นที่ดีย่อมเกิดขึ้น ใจที่ดีให้มิตรภาพที่ดีย่อมตามมาดังนั้น การที่จะมีมิตรมากมายไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่การรักษามิตรเพื่อเพิ่มพูนความดีต่อกันให้สร้างสรรโลกให้ยั่งยืนยังคงต้องทำต่อไป เพื่อรักษารอยเชื่อมให้พัฒนาเป็นเนื้อเดียวกัน

มุ่งมิตรมากมาย : 2

การได้รู้จักกันเป็นเรื่องไม่ยาก เมื่อรู้จัก คบหากันสนิทสนมเป็นมิตร ยากขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง แต่การรักษาความเป็นมิตรไว้นับเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก และเมื่อเวลาแห่งการจากกันด้วยดีนับเป็นเรื่องยากที่สุด

การได้พบ ได้รู้จัก นับว่าเป็นวาสนาที่ได้มาพบพาน เมื่อได้คบหา ได้ทำงานร่วมกันนับเป็นความผูกพัน การเชื่อมคนสองคนเข้าด้วยกันอาศัยปัจจัยหลักคือการติดต่อระหว่างกันและกัน ด้วย กาย วาจา ใจ

การแยกจากกันก็อาศัยปัจจัยหลักคือการติดต่อระหว่างกันและกัน ด้วย กาย วาจา ใจ เช่นกัน

เราอาจแยกจากกันด้วยระยะห่างของสถานที่ กาลเวลา และความเข้าใจ หรือหลายๆ อย่างรวมกัน การแยกด้วยกาย จะทำให้เกิดการแยกทางวาจา และการแยกทางใจตามมา

เราเชื่อมมิตรสหายได้ด้วย ใจที่คิดถึง สร้างโอกาสที่ให้วาจาที่ดีต่อกัน และนำพากายเรามาพบกัน แล้วมิตรภาพก็คงอยู่ ดำเนินไป บนวัฏฏจักร แห่งธรรมดาโลกย์

กาย วาจา ใจ นับเป็นสิ่งสำคัญที่ธำรงรักษาความเป็นมิตรของกันและกันไว้

ความอดทนเป็นพื้นฐานที่เชื่อมเรากับมิตร และเมื่อเป็นมิตรไม่มีอะไรต้องอดทน

การให้อภัยเป็นเรื่องที่มิตรมีให้แก่กันเป็นปกติ

มีคำกล่าวแต่นานมาแล้วว่า "อยู่คนเดียวพึงระวังจิต อยู่กับมิตรพึงระวังปาก" ดังนั้น การพูดคุยกันต้องมีความระมัดระวัง ถนอมน้ำใจ บนพื้นฐานของการเกื้อกูลกัน ให้แก่กันและกันตามกำลังที่ต่างมี ด้วยใจที่ปรารถนาดีต่อกัน

พุทธสุภาษิตบทหนึ่งความว่า " ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลงแล้วด้วยใจ จากใจที่ตั้งไว้ดีแล้ว การกระทำและคำพูดย่อมทำให้เกิดผลที่ดี เพราะการกระทำและคำพูที่ดีย่อมนำความสุขมาให้แก่เขา และติดตามเขาไปดั่งเงาติดตามตน " ดังนั้น มิตรภาพย่อมรักษาได้ด้วยใจที่ปรารถนาดีต่อกันซึ่งจะนำความสุขมาให้ในที่สุด

พรปีใหม่ของสมเด็จพระสังฆราช ปีหนึ่งความว่า " คิดดีพูดดีทำดี เป็นศรีเป็นพรสูงสุด ไม่มีพรเทพพรมนุษย์ ประเสริฐสุดกว่าความดีที่ทำเอง " ดังนั้น กาย วาจา ใจ ที่มีความอดทนเป็นพื้นฐาน ความเกื้อกูลอยู่ท่ามกลาง และมีความดีเป็นที่สุด ย่อมนำการกระทำที่ดีเป็นพรให้แก่เราและมิตรสหายทั้งหลายด้วย

มิตรทั้งหลายเชื่อมกันด้วยความเสมอกัน ความเท่าเทียมกันทั้ง กาย วาจา ใจ
มิตรทั้งหลายเชื่อมกันด้วยความอ่อนน้อม เคารพซึ่งกันและกัน

เราไม่อาจทำให้คนทั้งโลกรักกันได้ หรือเป็นมิตรกันได้ แต่หากต้องทำงานด้วยกัน เราควรเป็นมิตรกันและกัน ด้วยความเสมอกัน ด้วยความอ่อนน้อมต่อกัน เคารพซึ่งกันและกัน

ปรมาจารย์ทางจิตวิทยาท่านหนึ่งนำเสนอไว้ว่า " การงานเป็นสะพานเชื่อมความรัก "

การทำงานอยู่กับมิตรเป็นสุขอย่างยิ่ง ปราศจากความหวาดระแวง ไม่ต้องกลัวการกลั่นแกล้ง ไม่ต้องวิตกกังวลกับการแข่งขัน เราจะก้าวไปด้วยกันอย่างมีความสุข ก้าวไปบนการงานพร้อมๆ กับความรักสามัคคี มีความปรารถนาดี จริงใจเป็นพื้นฐาน มีความช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ระหว่างกลาง และมีความชื่นชมยินดีเป็นที่สุด

ปัจจุบันการทำงานใดๆในโลกนี้เป็นไปอย่างไม่ยั่งยืน มีผู้ทำการศึกษาแล้วสรุปว่า
“ การทำงานในโลกนี้เป็นไปเพื่อ การพิชิต สร้างอาณาจักร แล้วเสพสุข หากต้องการความยั่งยืน ต้องเปลี่ยนการทำงานเป็น การเชื่อมโยงเข้าหากัน ด้วยการสื่อสารที่มีพื้นฐานบนมโนธรรม ”
หากการทำงานนี้เป็นไปเพื่อมุ่งมิตรเราต้องเชื่อมโยงเข้าหากัน ด้วยการสื่อสารที่มีพื้นฐานบนมโนธรรม

มิตรมีได้มากมายครับ ธำรงรักษาได้ไม่ยาก ด้วยใจที่มุ่งมั่น
ขอให้มีความสุขกับชีวิตการทำงานครับ

งานแสนสุข : ข้างที่สงบ

การงานอันแสนสุขพาชีวิตเราผ่านช่วงเวลาอีกช่วงหนึ่งแล้วนะครับ

เราแลกเปลี่ยนความคิดกัน เพื่อจะค้นพบร่วมกันในการทำงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้มีความสุข ตามสมควรแก่ชีวิต เราทำความเข้าใจกับการทำงานด้วยการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราด้วยการรับรู้ถึงความเป็นจริง มองความเป็นธรรมดาของทุกสิ่งในโลกที่แวดล้อมอยู่ และเข้าใจถึงความคิดของเรา ที่เป็นสิ่งนำพาการงานและชีวิตให้เป็นไปตามที่เป็นมานี้

เราจะมี ข้างนอกสงบ ข้างในแจ่มกระจ่างชัด มั่นคงจากภายใน ด้วยความเข้าใจภายนอก แล้วสิ่งแวดล้อมเราล่ะ บรรยากาศการทำงานที่ต้องสัมผัสอยู่ทุกวันล่ะ

สิ่งที่แวดล้อมเรามากที่สุดสัมผัสมากที่สุด คือสังคมโดยรอบของเรา ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ผู้คนที่แวดล้อมและมีปฏิสัมพันธ์กับเราอยู่ตลอดเวลา เป็นความสงบเย็นหรือสนามรบ
แล้วถ้าเราใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวหรือทำงานกับเพื่อนร่วมงาน เหมือนกับอยู่ในสนามรบ แค่คิดก็น่ากลัวนะครับ

ลองนึกดูครับ ถ้าเราอยู่ท่ามกลางสนามรบ เราต้องระมัดระวังอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจากข้าศึกศัตรูที่มีอาวุธ มุ่งมาทำร้าย หรือจากผู้ที่มาป้องกันเรา ที่มีอาวุธ ความสุขย่อมไม่มาจากใจของผู้ดิ้นรน ต่อสู้ ถืออาวุธมุ่งทำลายกัน สิ่งที่ออกมาย่อมเป็นการเบียดเบียน แม้แต่การป้องกันตัวย่อมนำไปสู่โอกาสแห่งการเบียดเบียนเช่นเดียวกัน สงครามทำลายทุกอย่างครับ

ความสงบตรงกันข้ามครับ ลองนึกถึงวัดในความฝันนะครับ เพราะวัดในความเป็นจริงยังมีการกระทบกระทั่งทิ่มแทงกันบ้างตามธรรมดาโลกครับ สงบมากบางครั้งไม่นำไปสู่การพัฒนาใดๆ สงบจนกระทั่งหลงไปนะครับ หลงวนเวียนอยู่ไม่มีแก่นสาร

สนามรบเป็นโลกของความวุ่นวาย ตรงข้ามกับความสงบ ทั้งสองประการย่อมเกิดแต่ในใจมนุษย์ มนุษย์ที่ในใจมีความต้องการ ความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับ เหมือนกันแต่มนุษย์นั้นแตกต่างกันโดยพื้นฐานสติปัญญา สังคม อารมณ์ น่าปวดหัวนะครับ แต่มนุษย์กลับสร้าง สนามรบและความสงบจากใจของมนุษย์เอง
สนามรบและความสงบในใจ ขยายออกไปสู่สนามรบและความสงบภายนอก

สนามรบในใจโดยทั่วไปเกิดจากความดีและความเลวในใจของเราต่อสู้กัน บางครั้งความดีความเลวภายนอกก็มากระตุ้นให้ความดีความเลวในใจของเราทำสงครามกัน เมื่อปราศจากความดีความเลว หรือสิ่งตรงกันข้ามทั้งภายนอกและภายในกระทบกัน เราได้รับความสงบ แต่ส่วนใหญ่ความดีความเลวไม่เคยได้ยุติบทบาทของมัน เพราะมนุษย์ได้ให้คุณค่าความสำคัญกับมันทุกยุคทุกสมัย

เราพบเสมอว่าสงครามเกิดจากการแยกข้างอย่างขัดเจน ความดีกับความเลวเป็นเช่นเดียวกัน แยกข้างกันอย่างชัดเจน แล้วทำร้ายกันและกัน ความดีทำร้ายทั้งความดีและความเลว ความเลวทำร้ายทั้งความดีและความเลวเช่นกัน

เคยบ้างไหมถูกความเลวทำร้าย ส่วนใหญ่จะมองเห็นได้โดยง่าย เช่น ถูกปล้น ถูกฆ่า เป็นต้น แล้วเคยบ้างไหมถูกความดีทำร้าย ส่วนใหญ่จะตั้งคำถามกลับว่ามีด้วยหรือความดีทำร้าย มีเยอะแยะไปครับ เช่น โรคสองขั้นที่มีทุกปีในสถานที่ทำงาน มนุษย์ถูกความดีความชอบทำร้าย มนุษย์ในวงงานที่มีการเลื่อนขั้นเงินเดือนนี้จะป่วยเป็นโรคนี้ปีละหน และต่อไปในวงราชการที่มีการขึ้นเงินเดือนสองหน มนุษย์จะป่วยปีละสองหนครับ

ความดี ความเลวเป็นเครื่องมือประการหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ผิด เราใช้วัดภายนอกบนข้อตกลงที่เราผู้วัดใช้ใจวัด ความดี ความเลวนั้น เป็นเครื่องมือที่ต้องวัดภายในครับ ใช้วัดตัวของเราเองไม่ได้ใช้วัดผู้อื่น วัดตัวเองเพื่อสำรวจและปรับปรุงตนเอง ในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงเครื่องมือวัดคือความดีความเลวด้วยเช่นกัน

สนามรบจะสงบด้วยใจของเราครับ ใจที่ไม่เลือกข้าง ไม่ว่าจะเป็นข้างใด ข้างความดีหรือข้างความเลว ข้างคนทำงานหรือข้างคนเกงาน ข้างคนทำงานเก่งหรือข้างคนทำงานไม่เก่ง ข้างคนของนายหรือข้างคนของประชาชน ข้างอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะครับ เพราะไม่อยู่ข้างใครแล้วเราจะไม่เข้าสู่สนามรบ

แต่ระวังไว้นะครับถ้าไม่เลือกข้างแล้วอยู่ไม่เป็น ความดีจะเข้าใจว่าเราอยู่ข้างความเลวและความเลวจะเข้าใจว่าเราอยู่ข้างความดี … คนของนายจะเข้าใจว่าเราเป็นคนของประชาชน และคนของประชาชนจะเข้าใจว่าเราเป็นคนของนาย…น่าขำนะครับ… แต่โลกความเป็นจริงเป็นเช่นนั้นครับ

ถ้าอยู่ไม่เป็นเราจะเจอะศึกสองด้านครับ หนักกว่าเลือกข้างอีกนะครับ อันตรายกว่าเยอะครับแล้วงานการที่ควรจะเป็นด้วยความสุขกลับจะทุกข์ยิ่งกว่าเก่าครับ

แล้วจะสงบและสุขได้อย่างไรถ้าไม่เลือกข้าง น่าคิดนะครับ

งานแสนสุข

ด้วยการติดตามหมั่นสังเกต เราจะพบว่าความคิดพาชีวิตเราดำเนินมาท่ามกลางความเจริญและความเสื่อม โลดแล่นท่ามกลางกาลเวลา เคลื่อนไหวไปบนความแข็งแรงและเหนื่อยล้าของขีวิต

จากความคิดที่พาชีวิตเราดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ ความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมที่เป็นอยู่นั้นเป็นไปตามธรรมชาติส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นไปตามความคิดของเรา ความคิดดีทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ความคิดไม่ดีทำให้เกิดความเสื่อม ดังนั้น เราควรละความคิดที่ไม่ดี ระวังความคิดที่ไม่ดีไม่ให้เกิดขึ้น รักษาความคิดที่ดีให้คงอยู่และพยายามฝึกฝนความคิดที่ดีที่ยังไม่มีในตัวเราให้เกิดขึ้น เจริญงอกงามขึ้น เพราะเหตุนี้ความเจริญจึงเป็นอันหวังได้ครับ

เพื่อความเจริญของชีวิตเรานี้ไม่มีใครจะทำให้กับเราได้ เราต้องกระทำด้วยตัวของเราเอง ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความรักจับจิต คิดพยายาม ตามใส่ใจ ใฝ่ใคร่ครวญ อยู่ตลอดเวลา งานแห่งความคิดจะพาชีวิตเราไป งดงาม งอกงาม และเป็นที่น่ายินดี ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว ผู้คนรอบข้าง และโลกนี้ก็จะน่าอยู่ ปราศจากความอดทน และพยายามแล้วโลกทั้งโลกคงสูญสิ้นไปแล้ว

ชีวิตของเรานี้เริ่มต้นด้วยความเจ็บปวดนะครับ ความเจ็บปวดของแม่ในวันที่ให้กำเนิดเรา แล้วจบสิ้นด้วยความเจ็บปวดทางกายของเรา หรือความเจ็บปวดทางใจของคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย แต่ที่เรากำเนิดมาได้นั้นเพราะ พระคุณของคุณแม่ที่มีความอดทน ในขณะเดียวกันเราพยายามอยู่ภายในครรภ์ที่จะเติบโต ถ้าเมื่อกำเนิดมาเราไม่ช่วยตัวเองด้วยการหายใจ ชีวิตทีอดทนและพยายามกันมาตลอดเวลาเก้าเดือนจะสูญเปล่า ผลของความเจ็บปวดพยายามย่อมทรงคุณค่าสมควรแก่เหตุนั้นๆ

ในชีวิตการทำงานที่แท้จริงบางครั้งเราไม่ทันตั้งสติ คลื่นลมแห่งอารมณ์คน เหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดคิดมากระทบกับเรากระทันหันไม่ทันตั้งตัว เราตอบสนองไปตามความจำของเรา แล้วไม่เกิดผลดีกับเราเลย นอกจากเกิดมาอย่างเจ็บปวด จบลงอย่างเจ็บปวดแล้ว เรายังเป็นอยู่อย่างเจ็บปวดด้วย

ความเจ็บปวดในการเริ่มต้นและสิ้นสุด เป็นไปตามธรรมชาติ และวิถีทางของธรรมชาติ แต่การเป็นอยู่อย่างไม่เจ็บปวดนั้น เราสามารถเลือกได้ เลือกที่จะคิด เลือกที่จะทำ เลือกที่จะเป็นอยู่อย่างไม่เจ็บปวด ดังนั้นก่อนตอบสนองไปตามความจำและอารมณ์ เราต้องมีสติที่จะเลือกโต้ตอบกับทุกสิ่งที่เข้ามาสัมผัสกับขีวิตของเรา ไม่ตอบโต้ไปตามอัตโนมัติอย่างที่เคยเป็น ชีวิตในท่ามกลางของเราจะไร้ความเจ็บปวดได้ แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ทางใจสามารถมีความปกติสุขได้อย่างที่ควรจะเป็น

มีผู้ปฏิบัติงานชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ไม่มีความสุขในการทำงาน เพียงเพราะพลาดในการนำเสนอความคิดความมุ่งมั่นที่ดีของตนให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่สังกัดถึงสามคนให้เข้าใจในความคิดของตนเองได้ เขาจึงตกอยู่ท่ามกลางกระแสสงครามของผู้บริหารสามคนที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานให้ดีที่สุดในหน้าที่ที่ผู้บริหารต้องรับผิดชอบ

รายละเอียดของเรื่องมีมากเราจะข้ามรายละเอียดไป แต่ที่จะนำเสนอคือ เรามักพบว่าทามกลางงานแห่งชีวิตของทุกคน เราเอาความดีความมุ่งมั่นของเราทำร้ายกันและกัน โดยไม่พยายามจะเข้าใจความดีความมุ่งมั่นของผู้อื่น เราพิจารณาจากมุมมองของเราไม่ได้พิจารณาจากมุมมองของผู้อื่น ความรับผิดชอบเป็นตัวตั้งที่ทำให้เกิดการทำร้ายกันด้วยความดีตลอดเวลา มาตราฐานในการดำเนินชีวิตของคนเราไม่เท่าเทียมกัน มาตราฐานในการทำงาน และความดีก็ไม่เท่าเทียมกันด้วย ทั้งยังปราศจากความพยายามในการหลอมรวมกัน

ในเรื่องข้างต้นนี้เราจะพบว่าคนทั้งสี่อยู่กันคนละมุม ตอบสนองด้วยความจำ จำในความดี ความมุ่งมั่นที่จะกระทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ มีคนที่ไม่มีความสุขทำงานอยู่ด้วยกันทั้งสี่คน งานที่คิดว่าจะต้องสมบูรณ์จึงสมบูรณ์เพียงบางสถานะ หากมองในภาพรวมจะเป็นความบกพร่อง ความบกพร่องที่ผู้บริหารทั้งสาม และผู้ปฏิบัติงานชั้นผู้น้อยคนนั้นมีส่วนทำให้เกิดขึ้น หากเราถอยกันคนละก้าว เพื่อให้อาณาจักรของเราลดน้อยลง ทำความเข้าใจ แล้วก้าวมารวมกันใหม่ ความสมบูรณ์ในการทำงานร่วมกันจะเกิดขึ้นเป็นผลจาก ความรักจับจิต คิดพยายาม ตามใส่ใจ ใฝ่ใคร่ครวญ ของกลุ่มคนที่ทำงานร่วมกันอย่างแท้จริง

การมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขไม่ใช่เรื่องยาก งานที่พาชีวิตเราไปสู่ความสุขคืองานแห่งความคิดดี ปรารถนาดี มุ่งเอื้อประโยชน์ ต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคมโดยรอบ

เมื่อเราคิด เราจะทำ เมื่อเราทำ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดนิสัย นิสัยที่เป็นมาชั่วชีวิต จะกำหนดชะตาชีวิต การเปลี่ยนความคิดจึงเป็นการเปลี่ยนชะตาชีวิตด้วย

ไม่มีใครทำให้เรามีความคิดที่งดงามได้ นอกจากตัวของเรา ทุกท่านกำหนดชะตาชีวิตของท่านได้จากความคิดของท่านเองครับ

ขอให้ความคิดดีพาชีวิตของเราท่านให้ก้าวไปในโลกอันสับสนวุ่นวายนี้อย่างสร้างสรรค์ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ชีวิตของความเดียวดาย

มีชีวิตเพื่ออะไร มีชีวิตเพื่อใคร มีชีวิตทำไม

ตลอดเวลาของการมีชีวิตอยู่ เพื่อความมีชีวิตเท่านั้นหรือ
เพื่อสร้างสิ่งดีเท่านั้นหรือ เพื่อกระทำชั่วเท่านั้นหรือ

ตลอดเวลาของการมีชีวิตอยู่ เป็นเพื่อคนอื่นเท่านั้นหรือ
มีชีวิตเพื่อตนเองเท่านั้นหรือ

ตลอดเวลาของการมีชีวิตอยู่ เพราะต้องใช้กรรมเท่านั้นหรือ
เพราะต้องสร้างกรรมใหม่เท่านั้นหรือ

เราถูกสอนเสมอว่าทุกคำถามต้องมีคำตอบ
และเราพยายามหาคำตอบเสมอมา

ในความอ้างว้างเดียวดาย ไม่มีคำถามที่ดีและไม่มีคำตอบที่เหมาะสม

เราเป็นเพียงเรา เป็นอยู่ไม่เพราะอะไร เพียงแค่เป็นอยู่เท่านั้น

ชีวิตเดียวดายตั้งแต่เริ่มต้น ไม่เพราะอะไร เพียงแต่มันเป็นเช่นนั้นเอง

ชีวิตเดียวดายเพราะมันเป็นธรรมชาติของชีวิต

แบ่งแยกแล้วปกครอง

ความคิดในเรื่องแบ่งแยกแล้วปกครองควรจะหายไปจากสังคมได้แล้ว แต่ความเป็นจริงมันยังคงอยู่ คงอยู่เป็นของเคียงคู่ของชีวิตในสังคม
ได้ยินความสมานฉันท์ในแบบฉบับของเด็กๆ ในสังคม เด็กๆทั้งหลายที่เป็นผู้ปกครองสังคม ได้จำแนกผู้คนเป็นสองพวก พวกที่ทำตามใจตนที่กำหนด และพวกที่ไม่ตามใจตนที่กำหนด สองพวกจะได้รับการตอบแทน การกระทำตอบที่ไม่เหมือนกัน ฟูมฟักหรือเข่นฆ่า
จากใจที่แบ่งแยก เพื่อจะได้มีมาตรฐานสองแบบที่จัดการกับเขา จัดการกับเขา น่าสงสารสังคม ที่สร้างสรรค์คนเหล่านี้มา
ความเป็นเนื้อเดียวกัน แตกต่างจากความจำแนกแยกแบ่ง
ความเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีเงื่อนไข
ความจำแนกแบ่งแยกย่อมมีเงื่อนไข
เงืือนไขจากใจที่ไม่สมานฉันท์ สมานฉ้นท์ที่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน
สังคมเลือกเด็กเหล่านี้มา สังคมย่อมรับสิ่งที่จะติดตามมาเช่นกัน

สงสารท่านที่ทุ่มเทกระทำเพื่อชาติ
สงสารตัวเองที่เกิดมาในห้วงเวลานี้

ไม่ยอมแพ้ จะสร้างจะสานต่อชีวิต
อุทิศให้กับ สิ่งที่จะเป็นสิ่งแวดล้อมลูกหลานในอนาคต

ได้บันทึกไว้เมื่อคนถูกจำแนกโดยไม่ได้ถูกเห็นคุณค่าความเป็นคน

ทิพย์พ้ชน์ศรี

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

สวัสดีปีใหม่ 2551

สวัสดี ปีใหม่ ใจเกษม
ปลื้มปรีด์เปรม เอมอิ่ม ยิ้มเสมอ
ได้เรียนรู้ รับให้ ได้พรากเจอ
รู้เสนอ รับสนอง ของคู่กัน

จึงตั้งจิต อธิษฐาน ผ่านความจริง
สรรพสิ่ง ล้วนเปลี่ยน ล้วนเวียนผัน
สัจจะคง ดำรง ตั้งตรงมั่น
รู้เท่าทัน โลกย์ธรรม ที่ค้ำจุน

จาคะให้ อย่างไม่ ติดยึดถือ
เกื้อกูลคือ ความดี ที่อุดหนุน
ปัญญาแยก ผิดถูก ที่มีคุณ
จัดสมดุล สัมพันธ์ กลั่นชีวี

อุปสมะ สงบ จิตนบนอบ
อ่อนโยน ตอบสรรพ สิ่งสร้างวิถี
ได้แลกเปลี่ยน เรียนรู้ รับสิ่งดี
มีชีวี ดีเพื่อ เอื้อเฟื้อกัน

ด้วยเดชะ พระรัตนตรัย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใดใด ในสรวงสวรรค์
พร้อมแรง แห่งความดี บรรจบพลัน
จงบันดาล ดลให้ ใจเกษมเอย