วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การดำรงอยู่กับคุณค่าอย่างยั่งยืน

ความเข้าใจในธรรมชาติของคุณค่า
คุณค่าที่แท้จริงขององค์กรหนึ่งๆ ขึ้นอยู่กับความคิดของสมาชิก ความคิดเกี่ยวกับทั้งหมดที่เป็นการเห็นในภาพรวมของสิ่งที่องค์กรต้องทำ เห็นเป็นภาพต่อเนื่องทั้งจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต คิดวิเคราะห์ถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งตนเอง เพื่อนำคุณประโยชน์มาหล่อเลี้ยงให้เกิดคุณค่า

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความคงอยู่อย่างมีคุณค่าและยั่งยืน

ผมได้รับคำถามที่จะต้องตอบ เกี่ยวกับ การดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าและยั่งยืน จากองค์กรที่ผมสังกัดอยู่

จากคำถามคือความมีคุณค่า และความยั่งยืน จะดำรงอยู่ได้อย่างไร

คุณ ค่านั้นมีสองส่วนที่ประสานกัน คุณค่าภายใน นำมาซึ่งคุณค่าภายนอก
คุณค่าภายใน องค์กรขึ้นกับความเป็นเครือข่ายที่เหนียวแน่นของสมาชิก สมาชิกขึ้นอยู่กับแรงขับดันภายในตนและแรงดึงจากภายนอก แรงขับดันภายในตนขึ้นกับทัศนคติ ทัศนคติของตนขึ้นกับความคิดของสมาชิกแต่ละท่าน แรงดึงภายนอกนั้นยึดโยงกับความคิดภายในตนของสมาชิก ดังนั้นคุณค่าจึงขึ้นกับความคิดของสมาชิกแต่ละท่าน คณะกรรมการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสมาชิก แต่เป็นส่วนที่มีโอกาสที่จะสร้างให้เกิดคุณค่าได้โดยการหลอมรวมความคิดให้ไป สู่ความมีคุณค่า

ความยั่งยืน โดยธรรมชาติไม่มีสิ่งใดที่ยั่งยืน เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา แต่ความยั่งยืนที่สัมผัสและมองเห็นได้คือการสืบต่อ(สันคติ) การสืบต่อจะเกิดได้ต้องมีการเลื่อนไหล การเลื่อนไหลต้องมีกิจกรรมเป็นรูปธรรม และมีวัตถุประสงค์เป็นนามธรรม

ทั้งคุณค่าและความยั่งยืน ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง จึงจะสร้างคุณค่าและความยั่งยืนได้

สิ่งที่ต้องเข้าใจคือ ธรรมชาติของคุณค่าและความยั่งยืน และสมาชิกได้ดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับสี่งนั้นอย่างเป็นเนื้อเดืยวกัน

วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การเปลี่ยนแปลง

ความต้องการของคนเราสื่อสารกันด้วยคำพูด
การตกจมในความคิดและติดยึดด้วยความกลัว ทำให้ความเป็นไปของปัจจุบันได้สูญเสียความเป็นตัวตนของตนไป
ไม่มีความปรารถนาใดสำเร็จได้ดว้ยความกลัว
จงไปข้างหน้าแล้วขับดันตนไปด้วยความรัก
เพราะความรักเป็นอาวุธของพระเจ้า
จงไปข้างหน้าแล้วขับดันด้วยความจริง
เพราะความจริงเป็นอาวุธของพระพุทธเจ้า

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความฝันและความจริง ความรักและความเกลียด

ความฝัน บางครั้งนำมาซึ่งภัย เมื่อฝันเป็นเสียงดัง
ความจริง บางครั้งนำมาซึ่งภัย เมื่อจริงเป็นในใจเราแต่เป็นความเท็จในใจเขา

ความรู้สึกขัดแย้งมีมาแต่นานมากแล้ว มีผู้สังเกตเห็นสิ่งที่เป็นของคู่กัน เป็นธรรมคู่ ที่ต้องเข้าใจว่าเป็นสองด้านของสิ่งเดียวกัน ไม่มีทางแยกกันอยู่

ความรักและความเกลียด ก็เช่นเดียวกัน เป็นของคู่กัน อยู่ที่เราจะเรียนรู้ที่จะใช้ปัญญาจัดการมันได้อย่างไร วันนี้รัก พรุ่งนี้เกลียด ไม่ใช่เรื่องแปลก หากเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความรู้สึกนั้นอย่างไม่ขัดแย้ง ไม่ปกป้อง ใช้สติป้ญญาที่มีสร้างกำลังใจ เรียนรู้ความเป็นธรรมดาของความรักและความเกลียด ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน แต่อยู่บนความเห็นที่แตกต่างกัน

ความขัดแย้งสับสน เกิดขึ้นจากเรา การที่เราให้ความหมาย การที่เราได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝัง
บางครั้งเราพยายามรักด้วยเหตุผล แต่ไม่มีกำลังเหนือความเกลียดด้วยอารมณ์

บางครั้งเรารักด้วยอารมณ์ แต่มีกำลังน้อยกว่าความเกลียดด้วยเหตุผล
บางครั้งเราพยายามรักด้วยเหตุผล แต่ม่ีกำลังน้อยกว่าความเกลียดด้วยเหตุผล
บางครั้งเรารักด้วยอารมณ์ แต่มีกำลังน้อยกว่าความเกลียดด้วยอารมณ์
เมื่อไม่มีด้านใดมีกำลังมากกว่าอย่างเด็ดขาด ความขัดแย้งสับสนก็เกิดขึ้น

เราจะออกจากความขัดแย้งและสับสนได้ต้องมี สติ ปัญญา ที่หล่อเลี้ยงใจเรา
ต้องออกจากจุดเดิมให้ได้ เปิดกรอบที่ทาบทาเหตุผล เปิดกรอบที่เกื้อหนุนหล่อเลี้ยงอารมณ์
เราจะเปิดกรอบได้ต้องกลับสู่ข้างในตน แล้วออกมาจากข้างใน จึงจะเป็นการออกจากกรอบเดิมได้ บางครั้งเราคิดว่าเราได้ออกมาแล้วจากกรอบเดิม แต่ความจริงเป็นว่า เราไม่ได้ออกจากกรอบนั้นเราเพียงหาสิ่งห่อหุ้มใหม่เพื่อให้ดูเหมือนมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ภายในของเรายังเหมือนเดิม

เราต้องกล้าเข้าไปภายใน เพื่อระเบิดกรอบออกให้ได้ ทะลุกรอบได้เพียงนิด การระเบิดจะตามมา หากเราไม่ได้มาจากความเข้าใจ ความยั่งยืนจะไม่มี เราจะต้องอดทน หากเราเข้าใจแล้ว เราจะไม่ต้องอดทน พลังที่เสียไปกับความอดทนสามารถใช้อย่างอื่นได้อีกมาก