วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชีวิตหลังเกษียณที่พอเพียง

มีคำถามที่น่าคิดเข้ามาให้ตอบ คือ หลังเกษียณจะทำอะไร ต้องส่งให้ลูกถึงฝั่งฝันเรียนให้จบ(ฝันของ ลูก เมีย หรือของเรา) ยังต้องการ"เงิน" อีกจำนวนหนึ่ง คำตอบที่บอกไปคือยังมีศักยภาพที่จะเป็นวิทยากร นำเสนอเรื่องราวจากประสบการณ์ให้แก่น้องๆ รุ่นหลังได้อีกนาน ตอบอย่างทันทีทันควัน ทั้งๆ ที่ใจที่ตอบตัวเองนานแล้วว่าเราจะหยุดทางโลกเมื่อโลกย์ให้เราทำได้แค่ไหนก็จงทำไปแค่นั้น
มีหลักการอันหนึ่งที่นำไปใช้ได้ทุกกรณี คือ กฏแห่งความพยายามน้อย ไม่ต้องใช้แรงมากเมื่อถึงเวลา เบื้องหลังหลักการนี้คือการลงทุนลงแรงมาก่อน ประสบความยากลำบากมาก่อน อดทน พยายาม มาก่อนจึงมีกำลังเมื่อต้องประสบกับสิ่งยาก ไม่ต้องออกแรงมาก เพราะสิ่งที่เจอในวันนี้นี่คือสิ่งที่เตรียมพร้อมที่จะเจอมาแล้ว กฏแห่งความพยายามน้อย จึงดำเนินไปบนความคุ้นชินโดยไม่ต้องพยายาม
มีน้องคนหนึ่งนำกฏแห่งความพยายามน้อยไปเชื่อมโยงกับกิจกรรมพัฒนาคุณภาพงาน คือ ให้ความเห็นว่า การทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพงานคือการใช้กฎแห่งความพยายามน้อย โดยผู้ทำกิจกรรมพัฒนางานของตนให้ง่ายต่อการทำ ทำให้เป็นมาตรฐาน จึงไม่ต้องพยายามมาก
ย้อนกลับมาถึงการสนทนาที่ตอบไปทันที เหมือนไม่ได้มีการไตร่ตรองแต่มีการปั้นแต่ง มนุษย์เราจะมีฉากหน้าและเบื้องหลังที่เป็นสิ่งที่เป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไป เมื่อมีความกลัว กลัวเสียหน้า กลัวเสียเพื่อน กลัวไม่มีใครคบค้าสมาคม กลัวไปทุกอย่าง เราจะไม่ได้สื่อสารสิ่งที่มีอยู่ออกไปได้เหมือนอย่างที่มุ่งหวังไว้ เราตกแต่ง เราสื่อเพื่อให้ดูดี และอื่นๆ ตามที่ความกลัวพาเราไป
ชีวิตในสังคมเป็นสิ่งที่ถูกตกแต่ง ตกแต่งจากใจคนที่อยู่ในสังคม โดยมีความคาดหวังของตน คนอื่นรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมนำไป บางครั้งเราไม่ต้องการแต่ไม่อาจหักห้ามสิ่งครอบงำใจ(กิเลศ ตัณหา ราคะ)ได้
เมื่อคิดถึงสิ่งที่ต้องทำหลังเกษียณจริงๆ (เป็นเพียงความคิด) วางแผนไว้ให้อยู่ได้อย่างพอเพียงตามพระราชดำรัสซึ่งมีองค์ประกอบใหญ่คือ ความพอเพียงด้วยความรู้คู่คุณธรรม ทางเลือกมีไม่มากนักสำหรับภาวะจิตและภาวะกาย ต้องรู้ภาวะจิตของตน ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าที่มี ไม่สะสม ปรารถนาให้ลูกได้เรียนจบ ภรรยาได้มีความสุขในช่วงท้ายของชีวิต และตนเองได้ทำภาระที่ต้องทำในชาติปัจจุบันให้จบพร้อมทั้งสั่งสมบุญเพื่อชีวิตหลังความตาย ภาวะกาย กำลังในช่วงหลัง ๖๐ ปี คือ ภาวะของความเสื่อม กำลังถดถอย โรครุมเร้า ต้องรักษาสุขภาพไม่ให้เป็นภาระ ทางเหนือบอกว่าอยู่ในภาวะ "ไอเหมือนฝานโบก" ด้วยภาวะจิตดั่งนี้และภาวะกายดั่งนี้ ทางเลือกมีไม่มากนัก
จะกลับไปทำอาชีพเหมือนเมื่อเริ่มต้นทำงาน เป็นช่างสำรวจ คงไม่มีความรู้และกำลังพอ จะทำธุรกิจที่ปรึกษาก็ห่างมาเป็นเวลานับสิบปี จะลงทุนเล่นหุ้นต้นทุนมีไม่มากพอจะหมุนและเสี่ยง จะให้เริ่มงานขายตรง คงยากเพราะไม่ได้สั่งสมมาทางด้านนี้ จะให้เป็นวิทยากรคงได้แต่ในด้านที่ถนัดซึ่งตลาดไม่โตและมีผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากทั้งในขณะที่ทำงานไม่ได้หวังค่าตอบแทนจากการเป็นวิทยากรมาก่อน ทำเพียงเพื่อตอบแทนบุณคุณหน่วยงานด้วยประสบการณ์ที่มี ก็เท่านั้น
คงต้องย้อนกลับมาที่หลักการ ทำสิ่งที่ชอบให้ดีแล้วผลต่างๆ ย่อมตามมาเอง ชอบทำงานด้วยมือ ชอบคิดสร้างสรรค ชอบช่วยเหลือคนอื่น ชอบค้นคว้าวิจัย ชอบทำในสิ่งท้าทาย คงต้องหาจุดที่ชอบที่สุดและทำบ่อยๆ มาเป็นจุดเริ่ม
คงไม่ได้หวังว่าจะมีคำตอบที่ดีในวันนี้ เพืยงแต่คิดไว้บ้างก็ดีนะ เท่านั้นเอง
ด้วยจิตนอบน้อม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น