วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โลกที่ช้า ความเงียบและถ้อยคำ



แสงแดดยามเช้าส่องต้องโลกอีกครั้ง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดพักผ่อนของเหล่ามนุษย์เงินเดือน แต่สำหรับคนเกษียณ(แก่)แล้ววันไหนๆ ก็เหมือนกัน วันอาทิตย์เป็นวันสบายๆ ของหลายคน ชีวิตที่ไม่มีเวลามากำหนด ตื่นแต่เช้าเตรียมให้พร้อมที่จะไปทำงาน เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมข้าวของอุปกรณ์ และทุกอย่าง บางคนตื่นไม่ทันที่จะมีเวลาเตรียมสิ่งต่างๆ โลกสำหรับเขาจึงเป็นโลกที่รีบเร่ง คับเครียด วิ่งวุ่น และแก้ปัญหาไปเป็นเรื่องๆ ไป
โลกที่ช้าไม่มีเวลามากำหนดสิ่งที่จะต้องทำ ทำให้คนผ่อนคลาย คนจึงชอบออกไปอยู่ต่างจากสิ่งเดิม เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกกำหนดด้วยเวลาและสิ่งที่ต้องทำ ออกไปท่องเที่ยว ตื่นเช้าท่ามกลางธรรมชาติ มีอาหารพร้อมต้องการรับประทานเมื่อใดก็มาตั้งตรงหน้า ทานเสร็จไม่ต้องทำความสะอาด ไม่ต้องกังวลต่อภาระที่เราเข้าไปแบกรับไว้เอง เราเรียกสิ่งนี้ว่าการพักผ่อน ท่องเที่ยว เปิดสมอง และอื่นๆ แล้วแต่จะเรียก

โบราณบอกว่า "ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ" (หมุนเป็นมึน) แต่ปัจจุบันเราถูกสังคมภายใต้โครงสร้างและวัฒนธรรมที่อุดมไปด้วยการเอาเปรียบ แข่งขัน แก่งแย่ง สอนไว้ว่า "เร็วเข้า เขาไปถึงไหนกันแล้ว มัวแต่นอนอยู่นั่นแหละ" "ดูเพื่อนๆ ซิ ตำแหน่งใหญ่โตไปไกลแล้ว คุณมัวแต่ทำอะไรอยู่" ความคาดหวังต่างๆ ประดังเข้ามาและบีบคั้นให้เราตอบสนองไป เราพยายามมากขึ้น ทำให้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ได้รู้สึกว่า ธรรมชาติแล้วโลกหมุนด้วยความเร็วในเวลาเท่านี้อย่างสม่ำเสมอมาเป็นเวลานานมากแล้ว ธรรมดาแล้วเมื่อเราเร่งความเร็วเราก็ต้องจ่ายคุณค่ามากขึ้น ธรรมชาติปรับสมดุลของมันอยู่เสมอ ช้าเร็วเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ให้คุณค่า ให้คุณค่าโดยการวัดและเปรียบเทียบ ประเมินมันเพื่อนำผลมาปรับปรุง ถ้าเราวัดและให้คุณค่ามันผิดจากความเป็นจริงตามธรรมชาติ เป็นธรรมดาอยู่เองที่การปรับปรุงมันจะผิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ในชีวิตจริงเราติดกับดัก "Speed & Time" แล้วเราก็ตอบสนองไปตามคุณค่าที่สังคมจัดวางไว้ เป็นผู้มีการศึกษาดี ได้ทำงานในองค์กรที่ดี มีคู่ครองดี เป็นเจ้าคนนายคน มีบุตรดี มีบริวารดี เป็นผู้บังคับบัญชา มีอันจะกิน มีชื่อเสียง ทำประโยชน์ให้สังคม มีมากกว่าที่จะกินหมด และอื่นๆ อีกมากมาย
โลกของเราจึงรวดเร้ว อึกทึก วุ่นวาย ซับซ้อน ยุ่งเหยิง และเราก็เพลิดเพลินไปกับมัน ยินดีว่ามันท้าทาย สร้างกำลังทำให้เราพ้ฒนา เจริญขึ้น เราถูกบางอย่างปิดบังความเป็นจริงไว้ สร้างแรงดึงเราให้ห่างความจริง แล้วเราไม่ผ่อนคลายปล่อยไปให้ถึงจุดเหนื่อยล้า(จุดคราก Yield Point) เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น มันจะเหนื่อยล้าแบบถาวร และถ้ายังปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินต่อไปไม่ปรับเปลี่ยน แรงดึงนันมันจะบีบคั้นจนถึงจุดขาดสะบั้น(Ultimate Strength) จบลงห่างจากความจริงอย่างถาวร

โลกเรายาที่ขายดีคือยาแก้ปวดหัวและแก้ปวดท้อง คนที่สู้เสมอจะเกิดอาการวิงเวียนปวดหัวเป็นองค์ประกอบ และคนที่หนีเสมอจะเกิดอาการปั่นป่วนในลำใส้ ปวดท้องเป็นประจำ

สิ่งที่ถาโถมเข้ามาหาเรา และการตอบสนองจองเรา ทำให้โลกของเราไม่เคยเงียบ บางครั้งเราต้องการออกไปพักผ่อน หาความสงบตามธรรมชาติ ออกไปจากงาน บ้านและสิ่งแวดล้อมที่สร้างแรงดึงแรงเค้นให้เรา ขณะเดียวกันเราต้องการทราบความเคลื่อนไหวของโลก เราจึงต้องหอบหิ้วสิ่งที่จะสื่อสารกับโลกไปกับเราด้วย แล้วเราก็ได้พบเพียงผิวของสิ่งที่เราแสวงหาหรือบางครั้งก็ไม่ได้พบสิ่งใหม่อันใดเลย เราเพียงเปลี่ยนที่นอนเท่านั้นแต่สภาพแวดล้อมต่างๆ เราจัดให้มันคงเดิมตามความคุ้นชิน
บางครั้งเวลาในการไปพักผ่อนเราเลือกไม่ได้ เมื่อถึงเทศกาลผู้คนจึงพร้อมกันทำสิ่งเดียวกัน ออกไปท่องเที่ยว เดินทาง จึงเป็นการแย่งกันอยู่ แย่งกันกิน รีบเร่ง ห้าวันเดินทางทุกวัน เปลี่ยนที่นอน ที่กิน ที่เที่ยวห้าแห่ง การพักผ่อนของเราจึงไม่ช้า ไม่ผ่อนคลาย และไม่เงียบสงบ เราตกวังวนเดิมของอารมณ์ เมื่อต้องแย่งกันอยู่ แย่งกันกิน การเอาเปรียบตามมา ต้องได้มากกว่า เร็วกว่า ดีกว่า และอีกหลายกว่า ที่เราว่าจะละวางกลับสะสม พอกพูน เพิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้รู้สึกเพียงแต่สังคมและโครงสร้างพาไป และเราก็เพริดเพลิน ดื่มด่ำ พร่ำถึงมันอยู่เสมอมา

หากเราเลือกที่จะหยุดหรือทำให้ช้าลง เลือกหาความเงียบ ปลีกวิเวก ตามที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบันคือ การไปปฏิบัติธรรม ตามที่ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ไปผ่อนอารมณ์ด้วยการดูจิต หรือผ่อนคลายด้วยการพักผ่อนแบบธรรมชาติบำบัด ทำสปา หรืออื่นๆ สถานที่เหล่านั้นจะสร้างสภาพแวดล้อมให้มีบรรยากาศแบบ ธรรมชาติ เงียบ มีรสนิยม องค์ประกอบ แต่ความเงียบจะไม่รอเราอยู่ในที่เหล่านั้น เรารู้จัก เข้าถึง สถานที่เหล่านั้น ผู้คนเหล่านั้น บรรยากาศเหล่านั้น จากถ้อยคำร่ำลือ พร่ำบ่นถึง หรือแม้โฆษณาการจากสื่อต่างๆ แล้วเราจินตนาการจากถ้อยคำเหล่านั้น ใจคาดหวังว่าจะได้เข้าถึงสภาวะที่เงียบสงบ เราจึงพาตัวเราไป ทดสอบสถานที่แล้วสถานที่เล่า เราเคยสัมผัสความเงียบที่แท้จริงหรือไม่
ทุกวันนี้เรามีแต่ถ้อยคำที่สัมผัสเรา จากภายนอกที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เราได้ยิน จากภายในที่ตั้งใจคิดหรือไม่ตั้งใจคิด ถ้อยคำที่ทำให้เราต้องเร่งรีบ และไม่เงียบสงบ ต่อสู้และหลีกหนี

หากเราสังเกตุให้ดี จะพบว่าถ้อยคำที่มาถึงนั้นมีความหมายต่อเมื่อเราให้คุณค่ากับมัน ถ้าเราเงียบและช้าพอ เราจะให้คุณค่าที่เป็นประโยชน์ นำไปใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเราวุ่นวายและรีบเร่ง เราอาจพลาดประโยชน์จากถ้อยคำเหล่านั้นได้
เราสร้างโลกที่ช้า เงียบ เพื่อใช้ประโยชน์จากถ้อยคำได้ด้วย การเชื่อและพยายามบนการระลึกรู้ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิงที่ทำด้วยความรู้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เก็บความจากพื้นที่ชีวิต : สัมผัสโลก

ได้ฟังข้อความดีๆ จาก คุณวิจักข์ และผู้ดำเนินรายการได้เก็บมาฝากกันครับ










คุณค่าของการปล่อยวาง ไม่คิดมีพลังมากกว่าคิด ความเป็นธรรมชาติธรรมดา
การนำไปใช้ประโยชน์ได้ของคำสำคัญ ที่สร้างแรงบันดาลใจ
ความรู้ไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เรียนรู้จาการสัมผัสมนุษย์ที่สัมผัสได้โดยตรง

ผัสสะ ประตูทางเข้า เป็นเรื่องของมนุษย์สัมพันธ์กับโลกของเขาอย่างไร ผัสสะ=สัมผัสสัมพันธ์
ผ่านทางประตู อายะตะนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะ=กระทบ
ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตา=รูป หู=เสียง จมูก=กลิ่น ลิ้น=รส กาย=สัมผัส ใจ=ธรรมารมณ์
สัมผัส สร้างการรับรู้ สวยงาม ยั่วยวน การยึดแล้วปรุงแต่งต่อ ที่คาดเดาไม่เป็นจริง ตามธรรมชาติธรรมดา
โลกที่เราปรุงไปไกลกว่าความเป็นจริง ต้องใช้อายะตะนะ รับรู้ผัสสะ ตามจริง
ผัสสะทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้และรับความจริง
การสังเกตุผัสสะ เพื่อการตื่นรู้ โดยอยู่ท่ามกลางความร้อน กลิ่นท่อไอเสีย เสียงรถดัง
เดินไปสัมผัสไปและสังเกตุความรู้สึกของตนเอง สิ่งที่เราเผชิญคือ โลก
เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับภาวะเหล่านี้ให้ได้ ดูสิ่งที่เกิดกับเรา
ปัจจุบันนี้เรามีความต้องการ สิ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เย็น เงียบ หอม เมื่อไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด(ไม่พอใจ)

เมื่อเราสังเกตุท่าทีที่เรามีต่อภาวะนั้นๆ ผัสสะเป็นประตูให้เราเข้าสู่โลก
ทุกเรื่องมาหาเราทุกขณะ บางคร้งไม่มีอะไรก็เก็บเรื่องเก่ามาคิด หรือวิตกไปในอดีต
ผัสสะแบบโง่(ไม่รู้)จะทุกข์ เราจะเป็นทาสของโลก ทาสของการปรุงแต่ง
การฝึกใจให้รู้ทันผัสสะ ผัสสะสร้างพื้นที่ ถ้าไม่รู้ตัวจะไม่มีพื้นที่ความจริงความเป็นไปได้ให้ผัสสะได้แสดงตัวเพื่อทำความเข้าใจ 

โง่คือเราคิดว่าเราฉลาด การอยู่กับความไม่รู้ได้คือคำว่าฉลาด รู้ตัวว่าเราไม่รู้อะไรเลย
โลกที่ซับซ้อนเราจะเผชิญอย่างเลือกได้ ถอยออกมาจัดให้ช้าลงไม่ซับซ้อน
โลกของเราเราต้องใช้ชีวิตของเรา ขายก๋วยเตี๋ยว ต้องรู้ว่ามีอะไรบ้างมาผัสสะ ยกหยิบจับ
บางเวลาคนมาซื้อเยอะเราต้องเร็ว เราเห็นแล้วต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับความเป็นไปที่เป็นลักษณะของเรา

เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
การดำรงอยู่ขัดแย้งเหมือนเราต้องการเข้าไปควบคุมโลก
ซึ่งการปฏิบัตินั้นต้องการผลคือการดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
การสะสม การนำไปใช้ เราต้องฝึกโดยการเปิดให้เต็มที่ ทำอย่างมีสติ สมาธิ
เรียนรู้มาจากการกระทบ ผัสสะ เราถึงจะรู้จักโลกทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย
เรียนรู้จากตัวเราก่อน เข้าใจตัวเอง แล้วสัมผัสกับโลกภายนอกจะเกิดปัญญา

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ถึงบ้านแล้ว

วันนี้ได้รับรูปถ่ายจากคุณประพันธ์ ผู้มาส่งและบันทึกภาพเป็นที่ระลึกไว้


ที่ห้องพักโล่งและของกลุ่มสุดท้าย
ออกจากนนทบุรี เมื่อ 8.00 น. โดยประมาณ
นอกจากคุณประพันธ์แล้ว คุณวิบูลย์ยังกรุณามาส่ง(ช่วยขนของ)


ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ประมาณ 17.00 น 29 ก.ย. 55


วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กลับบ้านแล้ว 29 ก.ย. 55

วันที่ 28 กันยายน 2555 เป็นวันที่กฟผ. ได้จัดส่งผู้เกษียณกลับบ้านหลังจากที่ทำงานมาจนครบเกษียณ ร่วมโครงการออกจากงานก่อนกำหนด และโครงการออกจากงานด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย
กฟผ.จัดงาน วันสายใยสัมพันธ์ 2555 และ ส่งพี่กลับบ้าน บริเวณ ห้องประชุมเกษมจาติกวนิช

ผู้ร่วมงานส่วนกลาง ชฟน. ที่มาร่วมส่งผู้เกษียณ

เป็นเกียรติแก่ผู้เกษียณอย่างยิ่ง ที่ได้ถ่ายรูปกับ ผวก.กฟผ. เป็นที่ระลึกก่อนจาก
กับ รวฟ.
กับ รวธ.
กับ รวช.
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ชฟน. ให้เกียรติอีกครั้ง (ก.พ.2553-ก.ย. 2555)
ทำงานมานานแล้ววันเวลาผ่านไป ระลึกถึงกันในวันจาก มีผู้อยู่ในหน่วยงานปัจจุบันได้มาส่ง
นอกจากนั้น ยังมีผู้ร่วมงานในหน่วยงานที่เคยทำงานและผู้ที่รู้จักระหว่างทำงานได้มาส่งอีกมากมาย เป็นที่ปลาบปลื้ม ปิติใจ เป็นอย่างยิ่ง

กับ อหฟ. ฝ่ายที่เคยอยู่ก่อนมาสังกัด ชฟน ( 2550-2553 )
กับ อพบ. ฝ่ายที่สังกัดก่อนมา อหฟ. (2550)
อันที่จริงสองฝ่ายที่สังกัดนี้ ผมอยู่ ฝหฟ. ที่ถูกยุบไปก่อน และมาสังกัด อพบ. ได้ช่วงสั้นๆ เพราะจะมาทำงานร่วมกับน้องที่ทำงานฝึกอบรมด้านเทคนิคซึ่งสังกัด รวฟ. ห้าปีในช่วงที่ฝ่ายฝึกอบรม(2541-2550)ถูกยุบไป ผมย้ายไปมาระหว่างสองสายรองคือ รวห. และ รวฟ. เป็นที่น่าสนุก ทำงานอย่างเดิมแต่ย้ายสังกัด
กับ อกน.และผู้เกษียณและผู้ร่วมโครงการฯ (2517-2541)
ผมเข้างานในฝ่ายก่อนสร้างพลังน้ำ (ธ.ค. 2517) อยู่ก่อสร้างเขื่อนบ้านเจ้าเณร(2517-2519) เขื่อนบางลาง (2519-2524) เขื่อนเชี่ยวหลาน(2524-2530) โครงการจัดการส่งน้ำแม่เมาะ(2531-2541)
กับท่านทั้งหลายที่มาส่งกลับบ้าน
น้องๆ นักร้องของชมรม กฟผ. ที่มาให้กำลังใจ ให้เราสู้ชีวิตหลังเกษียณ
ข้างหลังเสื้อของทีมงานนักร้อง


ผมเดินทางกลับลำปางเพื่อมาอยู่กับครอบครัวในวันที่ 29 ก.ย. 2555


วัน จาก จะคง นึกถึง                   
นี้ จึง จารึก ไว้แน่น
ไป แม้ ยังเสีย ดายแสน
แล้ว แทน รักให้ มิตรมวล
ยี่สิบเก้า กันยา ลากลับถิ่น            
งานทั้งสิ้น เสร็จจบ ครบถี่ถ้วน
เกษียณสุข กรรมส่ง เกษมสรวล
ขอบคุณมวล หมู่มิตร จิตนอบน้อมเอย
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

เป้าหมายของชีวิต

วันเวลาล่วงไป ชีวิตมีเหลือน้อยลงทุกที

(ถ่ายวัน ที่ 28 ก.ย. 55 วันส่งพี่กลับบ้าน กฟผ.)
เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตคือความตาย

แต่ระหว่างทางสู่ความตายนั้น

เรายังคงตั้งเป้าหมายได้เป็นรายวัน รายเดือน รายปี

ตามภาระที่ต้องดำเนินไป


เราต้องทบทวนชีวิตทุกวันไปเพื่อพัฒนาให้เข้าใกล้

เป้าหมายของเราในทุกวัน


เราต้องปรับเป้าหมายของเราเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

เปลี่ยนไปมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้

และไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่สามารถเผชิญได้

ด้วยวิธีคิดแบบเก่าๆ


ตั้งเป้าหมาย ทำไปๆ อย่างไม่ละวาง

ตรวจติดตาม บนเหตุผลและความรู้สึก

สร้างความสมดุลทุกขณะจิต

สมดุลระหว่าง เหตุผล และ ความรู้สึก

ผ่อนคลายจากความบีบคั้น


ชีวิตจึงเดินทางไปสู่เป้าหมายอย่างมีความหมาย


ด้วยสมดุลและผ่อนคลาย


วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผ่าตัด 28 สิงหาคม 2555



(ถ่ายเมื่อ 08.00 น. วันที่ 29 ส.ค. 55)

เมื่อกรรมบรรจบเวียนมาในวันนี้ วันที่ตัองเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดใส้เลื่อน
หมอนัดมาโรงพยาบาลค่ายสุรศักดิ์มนตรี จ.ลำปาง มาถึงโรงพยาบาลวันที่ 27 สิงหาคม 2555 เวลา 16.30 น. checkin ไม่รู้เขาเรียกอย่างนี้หรือไม่ แต่ก็ได้นอนห้องพิเศษ 310 ชั้น 3 มาถึงเลยเวลาอาหารเย็นแล้ว คืนนี้หลัง 24.00 น.ต้องอดอาหารและน้ำเพื่อเตรียมผ่าตัด ได้ร้านสวัสดิการในโรงพยาบาล ซื้อขนมปังใส้กรอก น้ำเต้าหู้ น้ำผลไม้ มารับประทาน แล้วนอนรอ ก่อนนอนสวดมนต์ก่อนเพื่อตื่นขึ้นมาเตรียมตัวให้ทัน
วันที่ 28 สิงหาคม 2555 เวลา 04.00 น.ตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมอาบน้ำเข้าห้องน้ำ 06.00 น. คุณพยาบาลมาทำการใส่สายน้ำเกลือและให้รอ คุณหมอลูกศิษย์มาดูแทนคุณหมอที่จะผ่า คุณภรรยามาดูตอน 08.30 น. และกลับไปเวลา 10.30 น. รอจนถึงเวลา 13.30 น.คุณพยาบาลแจ้งว่าจะมาพาไปห้องผ่าตัดแล้ว เพิ่งรู้ว่าห้องผ่าตัดนี้ เราเดินเข้าไม่ได้ต้องนอนไปและนอนออก
คุณพยาบาล คุณหมอปิดหน้าปิดตากันหมดแต่เราถอดหมด 14.00 น. คุณหมอเริ่มบล๊อกหลัง ระหว่างนั้นตัวเราต้องทำท่าคางจรดอก สองแขนกอดเข่านอนตะแคง หลังจากนั้นมีการทดสอบว่าได้ผลหรือยัง มีความรู้สึกเหมือนชาไปหมดทั้งท่อนล่าง คุณหมอเอามือปิดกั้นหน้าไม่ให้ดีท่อนล่าง เตียงผ่าตัดเหมือนไม้กางเขน ตัวเราอยู่บนเตียงที่พอดี แขนมีที่รองยื่นออกไปทั้งสองข้างวางมือไว้และมีสายรัด มีคุณหมอและพยาบาลคอยสอบถามอยู่เสมอว่าเป็นอย่างไร หายใจโล่งบ้าง หายใจขัดบ้างเป็นระยะ
เวลาประมาณ 16.00 น.คุณหมอผ่าเสร็จแล้ว คุณพยาบาลพานอนดูอาการอีกระยะหนึ่งไม่รู้สึกอะไรมากนัก 16.30 น. ย้ายกลับมาห้องพัก ท่อนล่างชาไปหมด กระดิกเท้าขวาได้ก่อนเมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.

อาหารเย็นมาส่งเวลา 17.00 น. ยังทานไม่ได้เพราะลุกไม่ได้และไม่มีฟันปลอม รอจนภรรยามาถึง 19.00 น. จึงได้ทานอาหาร

ห้องพักแอร์ไม่ค่อยเย็น หงุดหงิดและโมโห พยายามดูใจตนเอง เมื่อวานเราก็ทนได้เมื่ออยู่คนเดียวและสบายดี แต่วันนี้ ไม่สบายและมีคนที่ต้องมาลำบากด้วยกับเราอีก 2 คน ทั้งแม่และลูก มีความรู้สึกแย่พยายามระงับไว้
คุณพยาบาลให้นอนราบจนกว่าจะถึง 04.00 น.ของวันที่ 29 สิงหาคม 2555

ตลอดคืนพยายาม ปัสสาวะให้ออกเพื่อไม่ต้องสวน ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น กว่าจะปัสสาวะออกตอน 05.00 นเมื่อทานน้ำไปเยอะๆ และยืนได้ พึ่งรู้ว่านอนปัสสาวะนั้นยาก
(ถ่ายตอน 19.00 น. 28 ส.ค. 55)

ตอนบันทึกนี้ 09.10 น. ทานอาหารและยาแล้ว ปวดแผลบ้างเล็กน้อย อย่างอื่นเป็นไปตามสภาวะ
มีรายละเอียดแต่ละช่วงที่เมื่อหายแล้วจะได้บันทึกการเรียนรู้ต่อไป

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กระทิงไม่เคยสิ้นหวังแม้บาดเจ็บ

เพื่อนประสบกับความป่วยไข้ สอบถามไปมา พบว่ากังวลกับลูกสาว ที่กำลังบาดเจ็บ เดาเอาว่าน่าจะมาจากอดีตและปัจจุบันที่ประจวบกันพอดี ฟังความแล้วนำชะตากำเนิดมาพิจารณา พบว่า เธอ(ลูกสาว)อยู่ในราษีพฤษภ สถิตย์ฤกษ์กฤติกา ฤกษ์ใหญ่โจโร เกิดวันศุกร์ เป็นคนเด็ดเดียว มานะไม่กลัว ไม่ถอย ไร้ญาติ ลึกซึ้งสุขุม ใจเย็น เจ้าแบบแผน รอบคอบ เก็บทรัพย์อยู่ เข้าใจเจรจาโต้ตอบ เรียนเก่ง ปากกล้า เป็นนายคน แต่อาภัพครูอาจารย์เป็นคนสอนยากในขณะเดียวกันเป็นคนมีเสน่ห์ และเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้
ช่วงนี้เธอดูจะมีพลังมาก แต่เพื่อนบอกว่าเธอดูจะซึมเศร้า ถ้าพิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่า ราษีพฤษภนี้เป็นคนโดดเดี่ยว แต่พลังอันเหลือเฟือของเธอนั้นไม่น่าจะนำสู่ความซึมเศร้า ดูเรื่องปากกล้าของเธอแล้วเห็นว่าความสัมพันธ์ของเธอกับปากคนน่าจะมีปัญหา ปัญหาเกี่ยวกับการจัดวางความสัมพันธ์ของเธอกับความคิดของเธอ ด้านการคิดในความเกี่ยวข้องอันที่ดูตามพื้นดวงเธอไม่แคร์กับคนและปากของเขาเท่าไร เพียงแต่ช่วงนี้พระเกตุ มฤตยู คุมพุธและกระทบพระอาทิตย์ ความไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงมาอย่างไม่สามารถคาดเดาได้  อาจส่งผลต่อความปรวนแปรกับควาเป็นตัวเธอ ซึ่งธรรมดา เธอเป็นคนเด็ดขาด เชื่อมั่นในตัวเองสูง ตัดสินใจเร็ว มั่นคงและมักเอาแต่ใจตน ไม่กลัวใคร กล้าพูดกล้าทำ
เมื่อพิจารณาสภาพแวดล้อมใกล้ที่สุดคือครอบครัว บ้านนี้มีเลข 8761 บ้านนี้เป็นบ้านที่พ่อบ้านไม่อยู่บ้าน แม่บ้านเป็นหลักแน่น ลูกมีทั้งต่อต้านและยอมรับ คนแรกต่อต้านเพราะเหมือนกันกับพ่อมากเกินไป ตัวหลักของบ้านมั่นคงได้เพราะแม่ ดูแล้วถ้าลูกสองคนรักกันหลักจะมั่นคงมาก และพ่อจะหมดอำนาจควบคุม สิ่งที่มีชะตาคือการแบ่งแยกแล้วปกครอง นึ้คือชะตาใหญ่และเป็นไปตามโลก ผมเข้าใจว่ามันเป็นชะตากรรม แต่มองอีกด้านหนึ่งคือ พ่อบ้านรู้ชะตานี้และวางแผนทำอย่างมีสติด้วยความปรารถนาดีดำเนินไป แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือบั้นปลายลูกทั้งสองจะรักกันรวมกันและความเป็นปกติสุขจะมาถึง ความเป็นธรรมดาของครอบครัวคือสามัคคีบนพื้นฐานความรักครับ
ดูชะตาจากดวงดาวแล้วสถิติช่วยได้นะครับ
ผมแนะนำเพื่อนไปว่า
เมื่อเธอ(ลูกสาว) เป็นคนโดดเดี่ยวสิ่งที่ควรทำคือทำให้เธอเป็นมิตรกับตัวเอง
เธอมีภาวะผู้นำสูงจนไม่อาจรับใครได้(ไร้อาจารย์)ต้องเรียนเองจากตนเอง ชะตาเธอเป็นผู้ปกครองไม่ใช่ผู้ใต้ปกครอง จากลิขิตนี้เธอจึงมานะและอดทน ฝึกฝนตน จากเหตุนี้ผมแนะนำให้ เธอ มีความรักให้กับสรรพสิ่ง พอใจในสิ่งที่ได้รับ และไม่คิดเป็นเอกในโลกไม่ต้องชนะใครชนะตนเองก็เพียงพอแล้ว ตรงนี้มีข้อสังเกตุว่า เธอสอนยากต้องมีครูที่ไม่อยากเป็นครูของเธอ เป็นเพียงผู้ท้าทาย ทำให้เห็นเป็นให้ดู เพราะตลอดชีวิตเธอเรียนรู้เองด้วยวิธีนี้ เรียนรู้อย่างว้าเหว่ เดียวดายไร้ครู ไร้มิตร มีแต่ศิษย์ที่รอเธอสอนต่อไป
ผมมีคำแนะนำสำหรับกระทิง(กระทิงคือ เธอ:แต่ไม่รู้ว่าจะทนฟังจนจบหรือไม่ เพราะมันต้องฝืน ต้องสละความเป็นกระทิง เพื่อไปสู่ความเป็น อะรูมิไร้ = อะไรไม่รู้) ข้อแนะนำสำหรับลูกสาวของสองกระทิงคือ นอบน้อม ยอมรับ อดทน เมตตา เข้าใจ ถ้ามองเป็นวงจร เริ่มจากตรงใดก็ได้เมื่อพร้อม เช่น เข้าใจ นอบน้อม ยอมรับ อดทน เมตตา(อันนี้สองกระทิง พ่อ แม่ ก็นำไปใช้ได้นะครับ)
ขอเสนออีกประการคือ สรรพสิ่งไม่เคยโหดร้าย มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ความกลัวพาให้โหดร้าย เพราะความกลัวเขาทำร้ายจึงทำร้ายเขาก่อน ดังนั้นโปรดอย่ากลัวมันเป็นไปตามที่มันควรเป็นเช่นนี้เอง
ขอทำความเข้าใจบางประการคือ การทำร้ายกาย กายทนไม่ได้ก็แตกดับสูญไป เพราะไม่อาจยึดถือกายได้ แตกดับไปหากายใหม่ได้ กายใหม่มาจากใจที่แสวงหา กล่าวคือ ใจเป็นใหญ่เป็นผู้นำทุกอย่างสำเร็จด้วยใจ ดังนั้นการทำร้ายใจ ใจทนไม่ได้ก็ต้องรับรู้ไป ถ้าใจรู้เท่าทันไม่รู้สึกประการใด ก็พ้นจากบ่วงไป ใจไม่มีสิ่งที่ทำลายใจได้ ใจเป็นพลังงานรับรู้รับทราบ และเป็นนิรันดร์คงอยู่รับรู้เพียงแต่ความคิด(สมอง)เราเข้าไม่ถึงจึงบิดเบือน คิดว่าทำร้ายกายแล้วจะจบเรื่องใจได้ ใจไม่ไปไหนอยู่กับเราที่ยึดถือนั่นเอง ทำลายกายใจไม่แตกสลายไปนะครับ
วัฏฏะหมุนเวียนเช่นนี้นะครับ เราจึงเกิดมาและทุกข์ต่อไปจนกว่าเราจะเรียนรู้
วกวนมานานอยากจะแนะนำดังนี้ครับ
1. เข้าใจเธอ ว่าเธอคือกระทิงที่บาดเจ็บ แต่ผมยังไม่เคยเห็นกระทิงที่สิ้นหวังครับ
2. อดทน เมตตาและไม่สอนครับ อันนี้ทำมานานแล้ว แต่ต้องพาไปดู ดูสิ่งที่ไม่ใช่ความคิด ดูประสบการณ์ของเพื่อน เล่าที่ประสบมาให้เธอฟัง ด้วยความจริง  ความงาม ความดี เธอจะเรียนรูู้เอง (เธอเก่ง ฉลาด(คิด) แต่ขาดประสบการณ์)
3. รอคอย ทำทุกอย่างที่ควรทำแล้วรอคอยนะครับ เหมือนเรา Apply ไปตามที่เขาต้องการและรอคำตอบนั่นแหละครับ รอคอย ไม่ต้องกระวนกระวายจงเชื่อมั่น
4. มธุรสวาจา กรุณา เชื่อในวิถีที่จะมาถึง มีกำลังใจ และให้กำลังใจ
5. อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่ตัดสิน ไม่สงสัย ไม่กลัว ออกจากตัวตน(ละทิ้งอัตตา) ไม่กังวลกับคนอื่น ไม่ย้อนกลับไปในอดีต ไม่คาดหวังในอนาคต
6. เชื่อผมโดยทำทุกประการข้างต้นแล้วนะครับ ผมเชื่อดังนี้

กระทิงไม่เคยสิ้นหวังแม้บาดเจ็บ

ด้วยจิตนอบน้อม

ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทำอะไรหลังเกษียณ



หลังจากคำถามว่าอยู่อย่างไรจนถึงเกษียณ ที่ตอบไปแล้วก็มาถึงคำถามว่าจะทำอะไรหลังเกษียณ
ทบทวนตัวเองแล้วพิจารณาคำถามนี้อย่างสร้างสรรค์ ว่าน้องคงเป็นห่วงว่า เราจะอยู่ได้อย่างไร ดำรงตนอย่างไร
นั่นคืออนาคต ถ้าจะตอบว่า Whatever will be, will be. ไม่ได้คิดอะไร อะไรจะเกิดก็เกิดเถอะ ปฏิเสธไม่ได้ว่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต ของคนๆ หนึ่งคือสิ่งเดียวกัน คือตัวตนของเขา
ผมเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยความยากเข็ญทางเศรษฐกิจ และดำรงอยู่อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ทางเศรษฐกิจ และตอนจบก็ยังเรียกได้ว่า ยากเข็ญทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
ชีวิตคนเราไม่ได้มีเพียงด้านเดียวนะครับ ด้านสังคม การเมือง การศึกษา เทคโนโลยี และจิปาถะที่ไม่ได้กล่าวถึง
แต่เมื่อผมจบชีวิตการทำงานและนับหนึ่งใหม่จะเป็นชีวิตหลังเกษียณที่ไม่ได้เริ่มจากความยากเข็ญทางเศรษฐกิจอีก เพียงแต่ว่าจะจบอย่างไรอยังไม่รู้ได้
ทั้งหมดที่เล่ามาเพื่อให้เห็นบริบท คนทำงานที่จะจบชีวิตการทำงานและเริ่มนับหนึ่งใหม่หลังเกษียณ
ชีวิตคนเราเริ่มนับหนึ่งมาหลายครั้งนะครับ เช่น ประถมปีที่ 1 มัธยมศึกษาปีที่ 1 ปกส.สำรวจปีที่ 1 ทำงานปีที่ 1 ผมจบประถมปีที่ 7 จบมัธยมศึกษาปีที่ 5 จบปกส.สำรวจปีที่ 4 ทำงานจบปีที่ 38 การนับหนึ่งหลังเกษียณนี้ไม่รู้จะจบที่ปีใด

การเริ่มต้นในชีวิตหลังเกษียณนี้คงต้องเริ่มจากจุดประสงค์ว่าจะทำเพื่ออะไร แล้วตามด้วยว่าจะทำอย่างไร
ผมเรียนเพื่อจะได้มีอาชีพทำงาน ทำงานที่ไม่ลงทุนด้วยตัวเอง คือ รับจ้าง จบการเรียนด้วยจุดประสงค์นั้น เมื่อเข้ามาทำงานผมมีจุดประสงค์มากกว่าหนึ่งอย่าง ที่ไปด้วยกันได้ คือทำงานให้ดี เลี้ยงครอบครัวได้ทั้งครอบครัวหลัก พ่อ แม่ น้องๆ และครอบครัวที่ผมสร้างใหม่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ปรับไปตามเหตุการณ์ ผมไม่ได้หวังมากไปกว่านั้น
ตอบคำถามว่าจะทำอะไรด้วยจุดประสงค์ว่า ผมจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว คนรอบข้าง ประเทศชาติ และมนุษยชาติ โดยรวม
ตามด้วยวิธีการว่าจะทำอย่างไร ผมจะทำตามกำลังที่มี และตามเหตุปัจจัยที่เกื้อหนุน เขียนไปก็เจ็บมือนะครับเพราะเหมือนเอากำปั้นไปทุบดิน


สิ่งที่เป็นประโยชน์ในความหมายของผมคือสิ่งที่อยู่ในขอบเขตของกำลังที่จะทำได้ ถามตนเองว่าผมทำอะไรได้บ้าง ผมมีทักษะของการทำงานด้านวิชาการ และปฏิบัติการ ทั้งโครงการขนาดใหญ่และงานฝีมือขนาดย่อม งานที่จะทำคือการวิจัยประเภท Action Research การให้คำปรึกษาแนะนำ การสอนด้านบริหาร และนำกิจกรรมด้าน Soft Side Management มาพัฒนาบุคลากร ความรู้แฝงฝังของผมบนหลายประสบการณ์ในหลายสถานการณ์ยังมีประโยชน์กับมนุษยชาติบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสที่ได้รับด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นจากน้องที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรออยู่ มีน้องที่จองให้ไปบรรยายหลายหลักสูตร  วางแผนจะสร้างการอบรมด้าน Soft Side Management โดย ร่วมกับยอดวิทยายุทธ์ด้านกิจกรรมกลุ่มเพื่อตั้งแคมป์ฝึกตนให้กับคนที่ต้องการเพื่อพัฒนาทั้งผู้เข้าฝึกและตัวเราด้วย และผมปวารณาตัวว่า หาก กฟผ. ต้องการให้ผมมาแลกเปลี่ยนความคิดด้วยไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด ก็จะไม่ปฏิเสธ
ส่วนการทำตามกำลัง และปัจจัยที่เกื้อหนุน คำบาลีว่า ยถาพลัง ยถาปัจจะยัง กำลังของบุคคลประกอบด้วยกำลังหลายอย่าง เช่น กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ กำลังความคิด และปัจจุบันกำลังจะมาจากเครือข่าย ซึ่งเป็นกำลังมหาศาลที่สร้างทั้ง กาย ใจ ทรัพย์ และความคิด ทั้งผูกพันขยายเครือข่ายจากหนึ่งสู่ทั้งหมดของมนุษยชาติ กำลังกายได้จากดูแลตัวเอง น้องๆ หลายคนบอกให้ลดละเลิกอบายมุข และเสริมด้วยการออกกำลังกาย กำลังใจมาจากพื้นฐานการฝึกตน บนสภาพแวดล้อมของ ครอบครัว สังคม เครือข่าย และศาสนาที่น้อมนำมาปฏิบัติ กำลังทรัพย์มาจากการประหยัดรู้จักใช้ ไม่ติดขัด ไม่ต้องมาก ไม่ต้องน้อย พอคือทรัพย์ ทั้งพอกาย พอใจ พอดีสมดุลไปทุกสิ่ง กำลังความคิด มาจากการสังเกตและเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยปรัชญาที่ว่า ผมเป็นนักเรียนของชีวิต เรียนรู้ ไม่ต่อสู้ นอบน้อมยอมรับ กำลังเครือข่ายมาจาก ความงาม ความดี ความจริง ที่ประพฤติด้วยเมตตาอาทรต่อสรรพชีวิต
สรุปว่าสิ่งที่จะทำหลังเกษียณคือ กลับไปอยู่บ้านเสียทีหลังจากมานาน ดูแลครอบครัว ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติตามกำลังและเหตุปัจจัยที่ประกอบเป็น
ขอบคุณที่ถามและเป็นห่วง 
ขอบคุณด้วยความนอบน้อมครับ

ทิพย์ พัชน์ศรี

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รักกันไว้นะจ๊ะ

อุทิศแด่ 
ศาสตราจารย์กิตติคุณฐะปะนีย์ นาครทรรพ 

ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรม
สาขาวรรณศิลป์(ร้อยแก้วร้อยกรอง) พุทธศักราช ๒๕๓๕
ชาตะ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๖๔ มะตะ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๓
ขอบคุณรูปภาพจาก
http://www.m-culture.go.th/ckfinder/userfiles/images/PR/w9340825-0.jpg
กลอนดอกสร้อย
บ้านเอ๋ยบ้านเมือง

โกรธหรือเคืองเรื่องไหนในชีวิต
ขุ่นเคืองแค้นผู้ใดในดวงจิต

ถูกหรือผิดถกเถียงเพียงต่างเชื่อ
ออกจากกรอบกำหนดบทแนวคิด

เปิดดวงจิตเปลือยใจไม่ให้เหลือ
นอบน้อมให้ทุกคนไม่คลุมเครือ

เปิดที่เพื่อให้ไทยร่วมใจเอย



ต่างเอ๋ยต่างคิด

ต่างจิตต่างใจในทุกหน
ไร้เงื่อนไขเชื่อมใจได้ทุกคน

เดินอยู่บนบาทวิถีที่ปลอดภัย
ยอมรับฟังพลั้งบ้างเปิดทางให้

ด้วยดวงใจใสซื่อทุกสมัย
ดวงจิตมุ่งเมตตาพาอภัย

เชื่อมใจไทยให้ลูกหลานเบิกบานเอย


ด้วยจิตนอบน้อม
ทิพย์ พัชน์ศรี

เด็กที่เคยอยู่ข้างบ้านท่านในซอยสีฟ้า(พหลโยธินซอย 9)
ผมประทับใจในลำนำธรรมรสและบทความธรรม 100 บท
ท่านประพันธ์เป็นกลอนดอกสร้อย

วันสุนทรภู่ 26 มิถุนายน 2555



ขอบคุณภาพจาก http://www.tlcthai.com/poem/wp-content/thumbnails/788.jpg
ขอบคุณภาพจากhttp://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/5/55/Poo-2.jpg

          สำรวมจิต อธิษฐาน กราบกรานครู

สุนทรภู่ ครูกวี ศรีสยาม
อรรถรส บทอักษร กลอนงดงาม

ปิติตาม เติมใจ ได้อ่านกลอน
จินตน ประสาน ผ่านชีวิต

อักขระ ประดิษฐ์ถ้อย ร้อยกรองสอน
เอื้อแก่โลกย์ แก่ธรรม ด้วยอาทร

จิตเร่าร้อน เลือนเย็น เห็นทางเรา



          "ถึงโรงเหล้า เตากลั่น ควันโขมง

มีคันโพง ผูกสาย ไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรม น้ำนรก เจียวอกเรา

ให้มัวเมา เหมือนหนึ่งบ้า เป็นน่าอาย"



          แม้ชีวิต ติดบ่วง ล่วงวัยแล้ว

จมกับแก้ว กับมิตร ติดสหาย
บางครั้งครา มาอยู่ ผู้เดียวดาย

ยังไม่หน่าย ดึ่มเพลิน เกินเปลื้องปลด



          "แล้วสอนว่า อย่าไว้ ใจมนุษย์

มันแสนสุด ลึกล้ำ เหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์ พันเกี่ยว ที่เลี้ยวลด

ก็ไม่คด เหมือนหนึ่งใน น้ำใจคน"



          เหตุฉะนี้ เป็นฉะนั้น ฉันจึงจำ

จึงกระทำ ตามครู อยู่ทุกหน
เดินดุ่มเดียว เดินบน หนทางตน

ถึงทุกข์ทน ไม่ท้อ ถากถางทาง
ยุคสมัย ผ่านไป ไม่หยุดนิ่ง

ทุกทุกสิ่ง มีครู เป็นผู้สร้าง
ให้ดวงจิต จินตนา มาถูกทาง

ตามแนวอย่าง ครูผู้เลิศ ประเสริฐเอย



ด้วยจิตนอบน้อม
ทิพย์ พัชน์ศรี
26 มิถุนายน 2555

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อยู่จนครบเกษียณ


มีคำถามน่าสนใจในวันศุกร์ ที่ 8 มิ.ย. 55 ผมได้เจอเพื่อนร่วมองค์กร คนหนึ่งถามว่า พี่อยู่มาได้อย่างไรจนครบอายุ 60 ปี มันเป็นการยากมากที่จะอยู่ได้นานขนาดนี้ พื่มีหลักอย่างไรในการดำเนินชีวิตการทำงานจนเกษียณ

ผมไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อนเลย เป็นคำถามที่น่าสนใจมาก ผมบอกเพื่อนว่าผมขอทบทวนเพื่อทำความเข้าใจในตัวเองและจะตอบให้ทราบ



เวลาที่ผ่านมาในช่วงแรกของการทำงานหลังจากได้ทำงาน องค์กรยังไม่ใหญ่โตมากขนาดนี้ ผมเข้างานเมื่อเดือน ธ.ค. 2517 หลังจากปลดทหารเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2517 เข้างานที่เขื่อนบ้านเจ้าเณร กาญจนบุรีทำงานแบ่งแปลงและวางแนวถนนในโครงการอพยพห้วยสามสุ่ย สองปีที่เขื่อนบ้านเจ้าเณรไม่เคยคิดถึงวันเกษียณ โลดแล่นแบบวัยรุ่นวุ่นวายยุ่งเหยิงไปวันๆ แก้ปัญหาไปวันวัน จนย้ายไปอยู่ที่โครงการก่อสร้างเขื่อนปัตตานี ยะลา เมื่อปี 2519 ชีวิตโสดได้เพียงปีเดียว 2520 ก็มีครอบครัว บุกเบิกหัวงาน ทำแนวเข้าหมู่บ้านอพยพ สร้างหมู่บ้านคอกช้าง เอาชีวิตรอดและไม่ได้คิดถึงอนาคตที่ยาวไกลจนเกษียณ ห้าปีผ่านไปเร็วมาก 2524 ย้ายมาโครงการก่อสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน สุราษฎร์ธานี บุกเบิกทางเข้า ปรับพื้นที่ทำถนนสร้างแคมป์บริเวณ และหัวงานก่อสร้างเขื่อน เสร็จแล้วก่อสร้างหมู่บ้านอพยพ เวลาหกปีผ่านไปเร็วมาก มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นที่เขื่อนเชี่ยวหลานมากมาย และเป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ก.ย. 2530 ย้ายมา สนก. เพราะไม่มีเขื่อนจะให้สร้าง 2531 ต้นปีย้ายมาโครงการจัดส่งน้ำ แม่เมาะ ลำปาง ปี 2534 ได้ไปต่างประเทศ กลับมาคิดว่าเรายังต้องเรียนรู้อีกมากให้ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกที่กว้างใหญ่นี้ ไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ มช. ด้วยทุนตัวเองเพราะขอทุนไม่ได้ อยู่แม่เมาะทำงานด้านอพยพราษฎร์ ไม่ได้ทำถนนและสะพาน อยู่แม่เมาะนานมากจนปักหลักฐานอยู่ลำปาง ที่แม่เมาะ ลำปางมีงานสองช่วง ช่วงแรก2531 ถึง 2541 อยู่โครงการทำงานด้านอพยพและจัดกรรมสิทธิ์ แล้วเมื่อเรียนจบในปี 2541 จึงขอย้ายไปอยู่ศูนย์ฝึกอบรมแม่เมาะ แต่งานอพยพและจัดกรรมสิทธิ์ ของโครงการจัดการส่งน้ำแม่เมาะหมดในปี 2537 ปี 2538 จึงทำงานด้านคุณภาพและฝึกอบรม รวมทั้งเป็นวิทยากรด้านโปรแกรมสำเร็จรูป พวก Office ต่างๆ เมื่อย้ายมาศูนย์ฝึกอบรมแม่เมาะ ได้มีโอกาสทำงานหลายอย่าง เช่น ปรับโครงสร้างศูนย์ฝึก ทำโครงการความร่วมมือ กฟผ. มช. ทำโครงการให้คำปรึกษากับโรงงานอุตสาหกรรม SMEs และอื่นๆ จนมีการยุบฝ่ายฝึกอบรม ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าปีไหนเพราะไม่ต้องการจำ รู้แต่ว่าหลังจากนั้นผมและทีมงานฝึกอบรมด้านเทคนิคต้อง ย้ายสังกัดไปเรื่อยสองปีครั้งตลอดระยะเวลา ห้าหกปีหลังจากยุบฝ่ายฝึกอบรม ปี 2547 ที่มีการยุบโครงการศูนย์ฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาพลังงานแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีโอกาสร่วมทำแผนพัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ สายงานผลิตไฟฟ้าฉบับแรก และปี 2548 ได้โอกาสเป็นวิทยากรบรรยายความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ตามแนวของ สคส.(สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม) และพัฒนามาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการทำงานประจำจนลืมไปว่าอันไหนเป็นงานหลัก  ปี 2552 ถูกย้ายมา สนก.  จนถึงปัจจุบัน

เล่าอดีตมายืดยาวแต่ไม่ละเอียดมากนักเพื่อให้เห็นภาพของคนที่อยู่มายาวนานในองค์กร เพื่อให้เห็นว่าที่อยู่มาได้นั้นเพราะไม่ได้คำนึงถึงวันที่จะต้องเกษียณ แต่ทำงานไปเรื่อยๆ ตามเหตุการณ์ และเป้าหมายที่เคลื่อนไป นั่นเป็นแรงดึงจากภายนอกที่ดึงเราไปด้วยงาน ส่วนแรงดันจากภายในนั้น ครอบครัวผมเป็นครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย เราต้องทำงานตั้งแต่เด็กด้วยการรับจ้าง สมองทางค้าขายไม่มี เมื่อแม่เลิกรับจ้างหันมาค้าขายผมก็ออกจากบ้านไปรับจ้างแล้ว ทั้งยังอยู่ต่างจังหวัดมาตลอด ได้รับการส่งเสียเลี้ยงดูจนจบ ปกส.สำรวจ ก็สามารถทำมาหากินได้ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเราจะออกก่อนเกษียณแล้วจะไปทำอะไร เพราะค่อนชีวิตเรารับจ้างมาตลอด และในขณะที่ทำงานนั้นผมก็ไม่ได้สะสมเงินทองอะไรมากมายนัก ใช้จ่ายไปตลอดและไม่ได้วางแผนทางการเงิน ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่หากมีมากพอแล้วสำหรับคนที่จะใช้ มากพอสำหรับที่จะฝัน พอแล้วคนคนนั้นก็จะหยุด ยุติ เกษียณได้ แต่สำหรับผมคงอยู่ไปตามเวลาจนครบเทอมไม่ใช่มีไม่มากพอ มีเท่าใดก็เท่านั้น เท่าที่มี


ไม่ได้มีหลักอะไรมากำกับชีวิตเท่านั้นก็ดีแล้ว                                   
ไม่ต้องมีอะไรก็ดีแล้ว มันดีอยู่ในตัวของมันเองนั่นแหละ                 
ทำไปเท่าที่ทำได้ดีเอง ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นทำไป ก็เท่านั้นเอง          
บางครั้งการตั้งกฏเกณฑ์กำหนดชีวิตและยึดถือมากไป ทำความทุกข์ให้กับชีวิตนะ


ในเรื่องปีศาจของเสนีย์ เสาวพงศ์ บอกว่า คนบางคนเกิดมาเพื่อคนคนเดียวแล้วจะตายไปเพื่อคนคนนั้น คนบางคนเกิดมาเพื่อคนหลายคนแล้วจะตายเพื่อคนหลายคน คนบางคนเกิดมาเพื่อคนหลายคนแล้วตายไปเพื่อคนคนเดียว และคนบางคนเกิดมาเพื่อคนคนเดียวแล้วก็จะตายเพื่อคนหลายคน
ผมเห็นความงดงามในความคิดของเธอ และขอนำมาเป็นแนวคิดว่า

คนบางคนเกิดมาเพื่อองค์กรและจะตายไปเพื่อองค์กร คนบางคนเกิดมาเพื่อตัวเองและจะตายไปเพื่อตัวเอง คนบางคนเกิดมาเพื่อองค์กรและจะตายไปเพื่อตัวเอง และคนบางคนเกิดมาเพื่อตัวเองและจะตายไปเพื่อองค์กร
เราลองเปลี่ยนจากคำว่าเกิดเป็นเข้า และตายเป็นอยู่อาจจะเห็นภาพคนที่อยู่จนเกษียณในอีกมุมหนึ่งได้นะครับ ความนั้นเป็นดังนี้

คนบางคนเข้ามาเพื่อองค์กรและจะอยู่ไปเพื่อองค์กร คนบางคนเข้ามาเพื่อตัวเองและจะอยู่ไปเพื่อตัวเอง คนบางคนเข้ามาเพื่อองค์กรและจะอยู่ไปเพื่อตัวเอง และคนบางคนเข้ามาเพื่อตัวเองและจะอยู่ไปเพื่อองค์กร                                                                         


การดั่งนี้เกิดขึ้นเป็นความงดงามที่ควรเรียนรู้นะครับ องค์กรควรเรียนรู้ว่า จะปรับความคิดของคนในองค์กร ความเชื่อของคนในองค์กรอย่างไร เพราะสัจจะธรรมที่ผ่านจากประสบการณ์ทำให้เราเห็นว่าความคิดของคนเราเคลื่อนที่ไปตามที่เขาประสพ
ผมกำลังแสดงให้เห็นว่าการที่อยู่จนเกษียณนั้นเป็นความคิดเกี่ยวกับการจัดวางความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กรกับคนในองค์กรนั้น มิใช่เหตุผลที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียวแต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นผู้สร้างสิ่งนั้น
การอยู่จนเกษียณ สร้างขึ้นมาด้วยสังคม กฏกติกา ความรู้สึก และความยึดถือที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกัน
ความภักดีนั้นจัดเป็นกิจกรรมร่วมมิใช่ กิจกรรมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง




คนมีความฝันของคน 

องค์กรมีเจตนารมณ์ขององค์กร
http://www.energythai.com/wp-content/uploads/2011/04/Thailand-Resources-Import-Fuel.jpg


อยู่ที่ว่า องค์กรจะเชื่อมสิ่งฝันเข้ากับเจตนารมณ์ได้อย่างไร
อยู่ที่ว่า ผู้นำจะสร้างสิ่งนั้นประการหนึ่ง และอยู่ที่ คนในองค์กรจะสร้างสิ่งนั้นด้วยเช่นกัน

วันนี้ 11 มิถุนายน 2555 เป็นวันดี เพราะมี เลข 11 มาเกี่ยวข้องด้วย
11 มิ.ย. 2555 ผมระดับ 11 เหลือเป็นคนขององค์กรอีก 111 วัน
และบอกตัวเองว่าวันที่เหลืออยู่อย่าทำงานแบบ 11 คือทำไป One One

ด้วยจิตนอบน้อม

ศิริวัฒน์ เก็งธรรม