วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โลกที่ช้า ความเงียบและถ้อยคำ



แสงแดดยามเช้าส่องต้องโลกอีกครั้ง วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดพักผ่อนของเหล่ามนุษย์เงินเดือน แต่สำหรับคนเกษียณ(แก่)แล้ววันไหนๆ ก็เหมือนกัน วันอาทิตย์เป็นวันสบายๆ ของหลายคน ชีวิตที่ไม่มีเวลามากำหนด ตื่นแต่เช้าเตรียมให้พร้อมที่จะไปทำงาน เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมข้าวของอุปกรณ์ และทุกอย่าง บางคนตื่นไม่ทันที่จะมีเวลาเตรียมสิ่งต่างๆ โลกสำหรับเขาจึงเป็นโลกที่รีบเร่ง คับเครียด วิ่งวุ่น และแก้ปัญหาไปเป็นเรื่องๆ ไป
โลกที่ช้าไม่มีเวลามากำหนดสิ่งที่จะต้องทำ ทำให้คนผ่อนคลาย คนจึงชอบออกไปอยู่ต่างจากสิ่งเดิม เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกกำหนดด้วยเวลาและสิ่งที่ต้องทำ ออกไปท่องเที่ยว ตื่นเช้าท่ามกลางธรรมชาติ มีอาหารพร้อมต้องการรับประทานเมื่อใดก็มาตั้งตรงหน้า ทานเสร็จไม่ต้องทำความสะอาด ไม่ต้องกังวลต่อภาระที่เราเข้าไปแบกรับไว้เอง เราเรียกสิ่งนี้ว่าการพักผ่อน ท่องเที่ยว เปิดสมอง และอื่นๆ แล้วแต่จะเรียก

โบราณบอกว่า "ช้าเป็นการ นานเป็นคุณ" (หมุนเป็นมึน) แต่ปัจจุบันเราถูกสังคมภายใต้โครงสร้างและวัฒนธรรมที่อุดมไปด้วยการเอาเปรียบ แข่งขัน แก่งแย่ง สอนไว้ว่า "เร็วเข้า เขาไปถึงไหนกันแล้ว มัวแต่นอนอยู่นั่นแหละ" "ดูเพื่อนๆ ซิ ตำแหน่งใหญ่โตไปไกลแล้ว คุณมัวแต่ทำอะไรอยู่" ความคาดหวังต่างๆ ประดังเข้ามาและบีบคั้นให้เราตอบสนองไป เราพยายามมากขึ้น ทำให้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ได้รู้สึกว่า ธรรมชาติแล้วโลกหมุนด้วยความเร็วในเวลาเท่านี้อย่างสม่ำเสมอมาเป็นเวลานานมากแล้ว ธรรมดาแล้วเมื่อเราเร่งความเร็วเราก็ต้องจ่ายคุณค่ามากขึ้น ธรรมชาติปรับสมดุลของมันอยู่เสมอ ช้าเร็วเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์ให้คุณค่า ให้คุณค่าโดยการวัดและเปรียบเทียบ ประเมินมันเพื่อนำผลมาปรับปรุง ถ้าเราวัดและให้คุณค่ามันผิดจากความเป็นจริงตามธรรมชาติ เป็นธรรมดาอยู่เองที่การปรับปรุงมันจะผิดไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ในชีวิตจริงเราติดกับดัก "Speed & Time" แล้วเราก็ตอบสนองไปตามคุณค่าที่สังคมจัดวางไว้ เป็นผู้มีการศึกษาดี ได้ทำงานในองค์กรที่ดี มีคู่ครองดี เป็นเจ้าคนนายคน มีบุตรดี มีบริวารดี เป็นผู้บังคับบัญชา มีอันจะกิน มีชื่อเสียง ทำประโยชน์ให้สังคม มีมากกว่าที่จะกินหมด และอื่นๆ อีกมากมาย
โลกของเราจึงรวดเร้ว อึกทึก วุ่นวาย ซับซ้อน ยุ่งเหยิง และเราก็เพลิดเพลินไปกับมัน ยินดีว่ามันท้าทาย สร้างกำลังทำให้เราพ้ฒนา เจริญขึ้น เราถูกบางอย่างปิดบังความเป็นจริงไว้ สร้างแรงดึงเราให้ห่างความจริง แล้วเราไม่ผ่อนคลายปล่อยไปให้ถึงจุดเหนื่อยล้า(จุดคราก Yield Point) เมื่อเราก้าวถึงจุดนั้น มันจะเหนื่อยล้าแบบถาวร และถ้ายังปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินต่อไปไม่ปรับเปลี่ยน แรงดึงนันมันจะบีบคั้นจนถึงจุดขาดสะบั้น(Ultimate Strength) จบลงห่างจากความจริงอย่างถาวร

โลกเรายาที่ขายดีคือยาแก้ปวดหัวและแก้ปวดท้อง คนที่สู้เสมอจะเกิดอาการวิงเวียนปวดหัวเป็นองค์ประกอบ และคนที่หนีเสมอจะเกิดอาการปั่นป่วนในลำใส้ ปวดท้องเป็นประจำ

สิ่งที่ถาโถมเข้ามาหาเรา และการตอบสนองจองเรา ทำให้โลกของเราไม่เคยเงียบ บางครั้งเราต้องการออกไปพักผ่อน หาความสงบตามธรรมชาติ ออกไปจากงาน บ้านและสิ่งแวดล้อมที่สร้างแรงดึงแรงเค้นให้เรา ขณะเดียวกันเราต้องการทราบความเคลื่อนไหวของโลก เราจึงต้องหอบหิ้วสิ่งที่จะสื่อสารกับโลกไปกับเราด้วย แล้วเราก็ได้พบเพียงผิวของสิ่งที่เราแสวงหาหรือบางครั้งก็ไม่ได้พบสิ่งใหม่อันใดเลย เราเพียงเปลี่ยนที่นอนเท่านั้นแต่สภาพแวดล้อมต่างๆ เราจัดให้มันคงเดิมตามความคุ้นชิน
บางครั้งเวลาในการไปพักผ่อนเราเลือกไม่ได้ เมื่อถึงเทศกาลผู้คนจึงพร้อมกันทำสิ่งเดียวกัน ออกไปท่องเที่ยว เดินทาง จึงเป็นการแย่งกันอยู่ แย่งกันกิน รีบเร่ง ห้าวันเดินทางทุกวัน เปลี่ยนที่นอน ที่กิน ที่เที่ยวห้าแห่ง การพักผ่อนของเราจึงไม่ช้า ไม่ผ่อนคลาย และไม่เงียบสงบ เราตกวังวนเดิมของอารมณ์ เมื่อต้องแย่งกันอยู่ แย่งกันกิน การเอาเปรียบตามมา ต้องได้มากกว่า เร็วกว่า ดีกว่า และอีกหลายกว่า ที่เราว่าจะละวางกลับสะสม พอกพูน เพิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้รู้สึกเพียงแต่สังคมและโครงสร้างพาไป และเราก็เพริดเพลิน ดื่มด่ำ พร่ำถึงมันอยู่เสมอมา

หากเราเลือกที่จะหยุดหรือทำให้ช้าลง เลือกหาความเงียบ ปลีกวิเวก ตามที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบันคือ การไปปฏิบัติธรรม ตามที่ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย ไปผ่อนอารมณ์ด้วยการดูจิต หรือผ่อนคลายด้วยการพักผ่อนแบบธรรมชาติบำบัด ทำสปา หรืออื่นๆ สถานที่เหล่านั้นจะสร้างสภาพแวดล้อมให้มีบรรยากาศแบบ ธรรมชาติ เงียบ มีรสนิยม องค์ประกอบ แต่ความเงียบจะไม่รอเราอยู่ในที่เหล่านั้น เรารู้จัก เข้าถึง สถานที่เหล่านั้น ผู้คนเหล่านั้น บรรยากาศเหล่านั้น จากถ้อยคำร่ำลือ พร่ำบ่นถึง หรือแม้โฆษณาการจากสื่อต่างๆ แล้วเราจินตนาการจากถ้อยคำเหล่านั้น ใจคาดหวังว่าจะได้เข้าถึงสภาวะที่เงียบสงบ เราจึงพาตัวเราไป ทดสอบสถานที่แล้วสถานที่เล่า เราเคยสัมผัสความเงียบที่แท้จริงหรือไม่
ทุกวันนี้เรามีแต่ถ้อยคำที่สัมผัสเรา จากภายนอกที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เราได้ยิน จากภายในที่ตั้งใจคิดหรือไม่ตั้งใจคิด ถ้อยคำที่ทำให้เราต้องเร่งรีบ และไม่เงียบสงบ ต่อสู้และหลีกหนี

หากเราสังเกตุให้ดี จะพบว่าถ้อยคำที่มาถึงนั้นมีความหมายต่อเมื่อเราให้คุณค่ากับมัน ถ้าเราเงียบและช้าพอ เราจะให้คุณค่าที่เป็นประโยชน์ นำไปใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเราวุ่นวายและรีบเร่ง เราอาจพลาดประโยชน์จากถ้อยคำเหล่านั้นได้
เราสร้างโลกที่ช้า เงียบ เพื่อใช้ประโยชน์จากถ้อยคำได้ด้วย การเชื่อและพยายามบนการระลึกรู้ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิงที่ทำด้วยความรู้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เก็บความจากพื้นที่ชีวิต : สัมผัสโลก

ได้ฟังข้อความดีๆ จาก คุณวิจักข์ และผู้ดำเนินรายการได้เก็บมาฝากกันครับ










คุณค่าของการปล่อยวาง ไม่คิดมีพลังมากกว่าคิด ความเป็นธรรมชาติธรรมดา
การนำไปใช้ประโยชน์ได้ของคำสำคัญ ที่สร้างแรงบันดาลใจ
ความรู้ไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด เรียนรู้จาการสัมผัสมนุษย์ที่สัมผัสได้โดยตรง

ผัสสะ ประตูทางเข้า เป็นเรื่องของมนุษย์สัมพันธ์กับโลกของเขาอย่างไร ผัสสะ=สัมผัสสัมพันธ์
ผ่านทางประตู อายะตะนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะ=กระทบ
ต้องรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตา=รูป หู=เสียง จมูก=กลิ่น ลิ้น=รส กาย=สัมผัส ใจ=ธรรมารมณ์
สัมผัส สร้างการรับรู้ สวยงาม ยั่วยวน การยึดแล้วปรุงแต่งต่อ ที่คาดเดาไม่เป็นจริง ตามธรรมชาติธรรมดา
โลกที่เราปรุงไปไกลกว่าความเป็นจริง ต้องใช้อายะตะนะ รับรู้ผัสสะ ตามจริง
ผัสสะทำให้เรามีโอกาสได้เรียนรู้และรับความจริง
การสังเกตุผัสสะ เพื่อการตื่นรู้ โดยอยู่ท่ามกลางความร้อน กลิ่นท่อไอเสีย เสียงรถดัง
เดินไปสัมผัสไปและสังเกตุความรู้สึกของตนเอง สิ่งที่เราเผชิญคือ โลก
เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับภาวะเหล่านี้ให้ได้ ดูสิ่งที่เกิดกับเรา
ปัจจุบันนี้เรามีความต้องการ สิ่งตรงกันข้ามกับความเป็นจริง เย็น เงียบ หอม เมื่อไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด(ไม่พอใจ)

เมื่อเราสังเกตุท่าทีที่เรามีต่อภาวะนั้นๆ ผัสสะเป็นประตูให้เราเข้าสู่โลก
ทุกเรื่องมาหาเราทุกขณะ บางคร้งไม่มีอะไรก็เก็บเรื่องเก่ามาคิด หรือวิตกไปในอดีต
ผัสสะแบบโง่(ไม่รู้)จะทุกข์ เราจะเป็นทาสของโลก ทาสของการปรุงแต่ง
การฝึกใจให้รู้ทันผัสสะ ผัสสะสร้างพื้นที่ ถ้าไม่รู้ตัวจะไม่มีพื้นที่ความจริงความเป็นไปได้ให้ผัสสะได้แสดงตัวเพื่อทำความเข้าใจ 

โง่คือเราคิดว่าเราฉลาด การอยู่กับความไม่รู้ได้คือคำว่าฉลาด รู้ตัวว่าเราไม่รู้อะไรเลย
โลกที่ซับซ้อนเราจะเผชิญอย่างเลือกได้ ถอยออกมาจัดให้ช้าลงไม่ซับซ้อน
โลกของเราเราต้องใช้ชีวิตของเรา ขายก๋วยเตี๋ยว ต้องรู้ว่ามีอะไรบ้างมาผัสสะ ยกหยิบจับ
บางเวลาคนมาซื้อเยอะเราต้องเร็ว เราเห็นแล้วต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับความเป็นไปที่เป็นลักษณะของเรา

เราปฏิบัติธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
การดำรงอยู่ขัดแย้งเหมือนเราต้องการเข้าไปควบคุมโลก
ซึ่งการปฏิบัตินั้นต้องการผลคือการดำรงอยู่อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
การสะสม การนำไปใช้ เราต้องฝึกโดยการเปิดให้เต็มที่ ทำอย่างมีสติ สมาธิ
เรียนรู้มาจากการกระทบ ผัสสะ เราถึงจะรู้จักโลกทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย
เรียนรู้จากตัวเราก่อน เข้าใจตัวเอง แล้วสัมผัสกับโลกภายนอกจะเกิดปัญญา

วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ถึงบ้านแล้ว

วันนี้ได้รับรูปถ่ายจากคุณประพันธ์ ผู้มาส่งและบันทึกภาพเป็นที่ระลึกไว้


ที่ห้องพักโล่งและของกลุ่มสุดท้าย
ออกจากนนทบุรี เมื่อ 8.00 น. โดยประมาณ
นอกจากคุณประพันธ์แล้ว คุณวิบูลย์ยังกรุณามาส่ง(ช่วยขนของ)


ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ประมาณ 17.00 น 29 ก.ย. 55


วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กลับบ้านแล้ว 29 ก.ย. 55

วันที่ 28 กันยายน 2555 เป็นวันที่กฟผ. ได้จัดส่งผู้เกษียณกลับบ้านหลังจากที่ทำงานมาจนครบเกษียณ ร่วมโครงการออกจากงานก่อนกำหนด และโครงการออกจากงานด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย
กฟผ.จัดงาน วันสายใยสัมพันธ์ 2555 และ ส่งพี่กลับบ้าน บริเวณ ห้องประชุมเกษมจาติกวนิช

ผู้ร่วมงานส่วนกลาง ชฟน. ที่มาร่วมส่งผู้เกษียณ

เป็นเกียรติแก่ผู้เกษียณอย่างยิ่ง ที่ได้ถ่ายรูปกับ ผวก.กฟผ. เป็นที่ระลึกก่อนจาก
กับ รวฟ.
กับ รวธ.
กับ รวช.
ผู้ช่วยผู้ว่าการ ชฟน. ให้เกียรติอีกครั้ง (ก.พ.2553-ก.ย. 2555)
ทำงานมานานแล้ววันเวลาผ่านไป ระลึกถึงกันในวันจาก มีผู้อยู่ในหน่วยงานปัจจุบันได้มาส่ง
นอกจากนั้น ยังมีผู้ร่วมงานในหน่วยงานที่เคยทำงานและผู้ที่รู้จักระหว่างทำงานได้มาส่งอีกมากมาย เป็นที่ปลาบปลื้ม ปิติใจ เป็นอย่างยิ่ง

กับ อหฟ. ฝ่ายที่เคยอยู่ก่อนมาสังกัด ชฟน ( 2550-2553 )
กับ อพบ. ฝ่ายที่สังกัดก่อนมา อหฟ. (2550)
อันที่จริงสองฝ่ายที่สังกัดนี้ ผมอยู่ ฝหฟ. ที่ถูกยุบไปก่อน และมาสังกัด อพบ. ได้ช่วงสั้นๆ เพราะจะมาทำงานร่วมกับน้องที่ทำงานฝึกอบรมด้านเทคนิคซึ่งสังกัด รวฟ. ห้าปีในช่วงที่ฝ่ายฝึกอบรม(2541-2550)ถูกยุบไป ผมย้ายไปมาระหว่างสองสายรองคือ รวห. และ รวฟ. เป็นที่น่าสนุก ทำงานอย่างเดิมแต่ย้ายสังกัด
กับ อกน.และผู้เกษียณและผู้ร่วมโครงการฯ (2517-2541)
ผมเข้างานในฝ่ายก่อนสร้างพลังน้ำ (ธ.ค. 2517) อยู่ก่อสร้างเขื่อนบ้านเจ้าเณร(2517-2519) เขื่อนบางลาง (2519-2524) เขื่อนเชี่ยวหลาน(2524-2530) โครงการจัดการส่งน้ำแม่เมาะ(2531-2541)
กับท่านทั้งหลายที่มาส่งกลับบ้าน
น้องๆ นักร้องของชมรม กฟผ. ที่มาให้กำลังใจ ให้เราสู้ชีวิตหลังเกษียณ
ข้างหลังเสื้อของทีมงานนักร้อง


ผมเดินทางกลับลำปางเพื่อมาอยู่กับครอบครัวในวันที่ 29 ก.ย. 2555


วัน จาก จะคง นึกถึง                   
นี้ จึง จารึก ไว้แน่น
ไป แม้ ยังเสีย ดายแสน
แล้ว แทน รักให้ มิตรมวล
ยี่สิบเก้า กันยา ลากลับถิ่น            
งานทั้งสิ้น เสร็จจบ ครบถี่ถ้วน
เกษียณสุข กรรมส่ง เกษมสรวล
ขอบคุณมวล หมู่มิตร จิตนอบน้อมเอย
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

เป้าหมายของชีวิต

วันเวลาล่วงไป ชีวิตมีเหลือน้อยลงทุกที

(ถ่ายวัน ที่ 28 ก.ย. 55 วันส่งพี่กลับบ้าน กฟผ.)
เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตคือความตาย

แต่ระหว่างทางสู่ความตายนั้น

เรายังคงตั้งเป้าหมายได้เป็นรายวัน รายเดือน รายปี

ตามภาระที่ต้องดำเนินไป


เราต้องทบทวนชีวิตทุกวันไปเพื่อพัฒนาให้เข้าใกล้

เป้าหมายของเราในทุกวัน


เราต้องปรับเป้าหมายของเราเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

เปลี่ยนไปมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้

และไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่สามารถเผชิญได้

ด้วยวิธีคิดแบบเก่าๆ


ตั้งเป้าหมาย ทำไปๆ อย่างไม่ละวาง

ตรวจติดตาม บนเหตุผลและความรู้สึก

สร้างความสมดุลทุกขณะจิต

สมดุลระหว่าง เหตุผล และ ความรู้สึก

ผ่อนคลายจากความบีบคั้น


ชีวิตจึงเดินทางไปสู่เป้าหมายอย่างมีความหมาย


ด้วยสมดุลและผ่อนคลาย