วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทางแก้ไขจุดบอดของใจ


บางส่วนจากธรรมบรรยาย โดย อมรา มลิลา ชมรมพุทธธรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๖
(โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ 19401 โดย: กอบ 23 มี.ค. 49)


...
ถ้าไล่เลียงดูดี ๆ จุดบอดก็มีมาตั้งแต่ในเด็กเล็ก ๆ แล้ว มีครอบครัวหนึ่งซึ่งมีพ่อแม่และลูกชายคนหนึ่ง ทั้งหมดอยู่กันในบ้านคุณปู่คุณย่า เด็กคนนี้เป็นขวัญใจของทุกคนในบ้าน วันหนึ่ง หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนก็มานั่งผักผ่อนอยู่ด้วยกัน เด็กซึ่งอายุ ๒ ขวบกว่า ๆ มาชวนพ่อเล่นเกมงูตกบันได ซึ่งมีกระดานสี่เหลี่ยมเป็นตาหมากรุก มีตัวงูโผล่หัวอยู่กลางกระดาน หากพาดมาตกที่จุดตั้งต้นเลขศูนย์

เวลาเล่นก็ผลัดกันทอดลูกเต๋า ลูกเต๋าขึ้นหน้าไหน ผู้เล่นก็เดินไปตามช่องในกระดานตามจำนวนแต้มบนหน้าลูกเต๋า ถ้าเดินไปหยุดตรงช่องที่มีปากงู งูก็จะกินเราตกงไปที่ศูนย์ใหม่ บางครั้ง เล่น เล่น เล่นไป เรานำหน้าคู่แข่งไปครึ่งกระดาน จะชนะแล้วเกิดปะเหมาะเคราะห์หามยามร้าย ทอดลูกเต๋าไปตกตรงปากงู ก็ลงมาตั้งต้นที่ศูนย์ใหม่

ปรากฏว่า ในเกมนั้น หลานชายวัย ๒ ขวบ ทอดแต้มชนะพ่อไปลิ่ว ลิ่ว ลิ่ว แต่แล้วก็ไปตกตรงปากงู เด็กเดินหมากของตัวไปวางตรงปากงู แล้วเลื่อนตามลำตัวงูลงมาที่หางงู ที่ศูนย์ ไปมองหมากของพ่อ แล้วจับหมากของตัวเลื่อนจากศูนย์กลับขึ้นไปที่ปากงูใหม่ เมื่อทุกคนมอง ก็เอาลงมาที่หางงู กลับไปกลับมาอยู่ ๒-๓ ครั้ง ในที่สุดก็ใช้ความกล้าหาญ เอาขึ้นมาวางตรงปากงูอยู่กลางกระดาน

ทุกคนประท้วงว่า อ้าว.. ก็หมากจะต้องลงไปที่ศูนย์นี่นา เด็ก ๒ ขวบให้เหตุผลว่า ก็ไม่เห็นหรือ ลูกเอาหมากใส่ปากงูไปถึงหางแล้ว แต่งูอ้วกออกมาทุกทีเลย ไม่ใช่เด็กไม่รู้ ไม่ใช่จะโกง เขามีเหตุผลของเขา เพราะเขาแพ้ไม่ได้ แต่จะรับตรง ๆ ว่าฉันจะโกง ก็เสียท่า จึงสร้างเหตุและผลมาอ้าง ก็ไม่เห็นหรือ เขาก็ได้ลากหมากลงไปอย่างนั้นจริง ๆ แล้วก็เอาขึ้นมา .. เห็นไหม งูขย้อนขึ้นมาตั้ง ๒ หน ๓ หน ถ้าขึ้นเอาลงไป มันก็อ้วกออกมาอีก เพราะฉะนั้น หมากก็ต้องอยู่ที่ปากงูนั่นแหละ

ถ้ามองให้ละเอียดถี่ถ้วน เราจะเห็นว่า เออจริงนะ กิเลสทุกตัว ไม่ได้มามีขึ้นเมื่อเราเกิดแล้ว หรือผู้คนในโลกนี้หรือบรรยากาศในโลกเอากิเลสมาใส่เข้าไปในใจเรา เรามักจะพูดกันว่า เด็กเล็ก ๆ ใจยังสะอาด เหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ ครั้งโตขึ้นมา โตขึ้นมา กิเลสจึงมาเปื้อน เราก็เข้าใจผิดตามไป

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองติงว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น เด็กก็ไม่มาเกิดกัน เพราะใจสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว การที่ยังมาเกิดมีตัวตนเห็นโทนโท่อยู่ แปลว่ากิเลสยังมีอยู่ในใจ แต่ยังไม่ได้ปุ๋ยได้เชื้อเพียงพอ ก็เลยยังเหมือนเม็ดอ่อน ๆ ที่เป็นเปลือกหุ้มอยู่ ยังไม่สำแดงฤทธิ์ออกมาให้เราเห็น เมื่อถูกสิ่งแวดล้อมกระตุ้น ก็ค่อยแตกกิ่งก้านมากขึ้น มากขึ้น

เด็กคนนี้ก็มีเชื้อของความโลภ ความมืดมน มีตัว ฉันต้องเก่ง ต้องชนะ อยู่ในใจ เท่า ๆ กับเราทุกคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็มีกันทั้งนั้น แต่ปัญหามีอยู่ว่า เชื้อแต่ละเชื้อ กิเลสแต่ละตัวของเรา จะได้ปุ๋ยได้เชื้อทำให้พองใหญ่ขึ้นมาแค่ไหน

ถ้าคิดได้อย่างนี้ เราก็จะบอกเด็กว่า งูมันไม่อ้วก แล้วคุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ ก็จะค่อย ๆ จับหมกเลื่อนลงไปอยู่ที่หางงู อธิบายว่า ถ้าเราจะเล่นกัน เราก็ต้องเคารพกฏกติกา เกมทุกชนิด เมื่อเล่นแล้วก็ต้องมีแพ้บ้างชนะบ้าง เหมือนเราไปเล่นไม้กระดก ก็ต้องมีกระดกขึ้นบ้าง กระดกลงบ้าง สอนให้เด็กเห็นธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ ให้คุ้ยเคยกับกฎของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีอะไรเที่ยง ใครก็ชนะตลอดกาลไม่ได้ แพ้ตลอดกาลไม่ได้ มันต้องตั้งอยู่ แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไป แล้วกลับตั้งขึ้นใหม่ คือค่อย ๆ ให้ภูมิคุ้มกันเขา

แต่ปรากฏว่าคุณปู่คุณย่าชื่นชม เห็นว่าหลานฉันเพิ่ง ๒ ขวบ เฉลียวฉลาดเหลือเกิน คิดได้ว่างูอ้วก ก็เลยทำให้เด็กภาคภูมิใจว่า ฉันเก่งที่หาเหตุผลมาอธิบายว่างูมันอ้วก แล้วเลยไม่ต้องทำตามกฎ เมื่อเป็นอย่างนี้ ระหว่างที่เด็กเติบโตขึ้น พอมีอะไรไม่ถูกกิเลสเขา แทนที่จะหาเหตุผลจริง ๆ ความเคยชินจะสอนให้เขาหาเหตุผลที่เป็นกิเลสมาใช้อ้าง เพราะทุกกรณี เขาต้องเป็นผู้ชนะ

วันหนึ่ง เราเห็นเขาโตเกินกว่าจะน่าเอ็นดูกับเหตุผลที่เป็นความฉลาดแกมโง ที่ไม่ถูกต้อง เราดุเขา เขาก็จะตกใจ อกสั่นขวัญสยอง เพราะเขาเคยทำอย่างนี้มาเรื่อย ๆ จนเป็นอุปนิสัยไปแล้วและทุกคนก็หัวเราะเอ็นดูและชมว่าเขาเก่ง วันนี้เกิดอะไรขึ้น การอบรมเด็กด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงเป็นพิษเป็นภัย เพราะเอากิเลสในตัวเราไปปลูกปั้นเขาขึ้นมา แล้ววันหนึ่งก็ไปบอกว่าทำไม่ได้

เหมือนเรื่องในนิทานอีสป หญิงสาวคนหนึ่งสามีตายตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง พอลูกคลอดออกมาหน้าตาเหมือนสามีมาก แม่ก็ฟูมฟักรักถนอมลูกชายคนนี้เป็นแก้วตาดวงใจ ลูกทำอะไร จะไปรังแก่เพื่อน จะไปขโมยของใคร จะไปทำความผิดความชั่วอะไร แม่ก็บอกว่า ดีลูก ลูกเลยเข้าใจว่า อะไร อะไรไร อะไร ที่ตัวทำนั้น ดีทั้งนั้น ต่อมาเด็กโตเป็นหนุ่ม ไปขโมยของเขา ถูกเขาแจ้งความ ตำรวจจับ ค้นของกลางได้ ตำรวจก็เอาเข้าคุก เมื่อไปเยี่ยมที่คุก รำพันว่า โธ่เอ๋ย ทำไมลูกจึงทำอย่างนี้ แม่เสียใจเหลือเกิน

ลูกก็ตอบ อ้าว ฉันก็ทำอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำทีไร แม่ก็บอก ดีลูก ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรว่า ทำอย่างนี้แล้ว ตำรวจจะมาจับฉันเข้าคุก หาว่าเป็นหัวขโมย ก็แม่บอกแต่ ดีลูก ทุกที

การที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย รักเด็กโดยไม่แนะสอนให้รู้ว่า อะไรผิด อะไรถูก กฎเกณฑ์ข้อบังคับมีว่าอย่างไร เรารักแล้วมองที่ผิดที่บกพร่องผ่านจุดบอดในใจของเรา เป็นการปิดบังความจริงจากเด็ก วันหนึ่งก็จะเกิดผลเสียหาย ทำนองตัวอย่างที่ดิฉันเอามาเล่าสู่กันฟัง หรือตัวเราเองก็เถอะ ไม่มีใครบอกเรา เราก็ต้องพยายามดูเขา แล้วยอนมาเปรียบเทียบดูเราว่า ที่เราทำ ที่เราว่างูอ้วกออกมา ทำแล้วเรามีความสุข แต่อีกฝ่ายทุกข์ปางตายนั้น มันถูกต้องหรือเปล่า

ของอะไรก็ตาม ถ้าเป็นของดี ของถูกต้อง มันดีกับเรา ทำให้เราดีใจ เรามีความสุข มันย่อมทำให้คู่กรณีของเราดีใจ มีความสุขด้วย เหมือนเราหิวน้ำ เราดื่มน้ำฝนเข้าไปแล้วชุ่มชื่น ยิ่งน้ำฝนนั้นลอยดอกมะลิด้วย ยิ่งชื่นใจหายเหนื่อย น้ำเหยือกนี้เอาไปให้ใครใครดื่ม จะเป็นคนที่รักเรา หรือเป็นศัตรูกับเรา ตื่มแล้วคนเหล่านั้นก็ต้องได้ความชุ่มชื่นใจ เป็นสุขอย่างเราเหมือนกัน

ไม่ใช่ว่า ดีกับเรา แต่กับศัตรูเรา กินเข้าไปแล้วปวดท้อง อาเจียน หรือไม่สบายเป็นโรคขึ้นมา ไม่ใช่อย่างนั้น

สิ่งที่เป็นธรรม ถ้าดีกับใคร ก็ต้องดีกับทุกคน ถ้ายึดหลักนี้เอาไว้ พอจะหลงไปตามจุดบอดในใจ เราก็จะฉุกคิดได้ว่า มันถูกแน่หรือ เพราะธรรมชาติของใจ ถึงแม้จะมีจุดบอดกันทุกคน แต่ใจนั้นเป็นธาตุรู้ รู้ผิดชอบชั่วดี รู้ผิดรู้ถูก แต่โดยมากเราไม่ฟัง เมื่อมันเตือนขึ้นมา เราสะดุ้ง ตะขิดตะขวงใจ แต่ประเดี๋ยวเดียวก็จะหาเหตุผลที่เป็นพาลปัญญามาเข้าข้างกิเลส แล้วบอกว่า ฉันถูก
...
อ้างอิง: http://www.dharma-gateway.com/ubasika/amara/ubasika-ammara-33.htm

อ่านธรรมะเพิ่มเติมได้ที่ 
 อ่านธรรมะเพิ่มเติม


วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คิดแตกต่าง



เกริ่นนำ
คนหนึ่งต่อสู้เพื่อความดี ลบล้างความชั่ว
คนหนึ่งต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ลบล้างความอยุติธรรม
ศีลธรรมสมัยใหม่ผูกพันกับเศรษฐกิจ Moral Economy
ศีลธรรมสมัยเก่าสั่งสมสั่งสอนมาแบบดั้งเดิม Moral ...
การสู้กันของ สิบชุดความคิด
สามชุดเดิม ชนบทสู้กับเมือง ไพร่กับอำมาตย์ ทุนเก่าทุนใหม่
เจ็ดสิ่งที่ซ่อนอยู่ ชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง เสรีนิยมกับจารีตนิยม โลกาภิวัตน์กับอนุรักษ์นิยม อำนาจนิยมกับประชาธิปไตย ทุนนิยมกับการต่อต้านทุนนิยม รัฐกับการต่อต้านรัฐ นักการเมืองกับนักคุณธรรม
ในนามของความเชื่อ ฉันจึงมิสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะทำร้ายเธอ กำจัดเธอ ด้วยความเชื่อของฉั

การเข้าใจคนที่คิดแตกต่าง

การเกิดขึ้นของชุดความคิดที่แตกต่าง
เรามีความคิด ชุดของความคิด ที่เป็นตัวกำหนดการกระทำของเรา ชุดความคิดของเรามาจากไหน เมื่อแรกเกิดเราบริสุทธิ์จากความคิดทั้งมวล หรือแท้จริงแล้วเรามีสิ่งที่พกพามาด้วย
ปฏิสนธิวิญญาณจุติพร้อมกับกรรมของเรา จึงเป็นที่กำเหนิดของเรา สถานที่ เวลา ครอบครัว พ่อ แม่ พี่น้อง วงศาคณาญาติ เป็นเบื้องต้น 
ในท่ามกลางเราได้เรียนรู้ จาก ครอบครัว ศาสนา โรงเรียน การทำงาน สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมชุดความคิดของเรามา หล่อหลอม บ่มเพาะ เราเข้าไปจับต้อง เชื่อมั่นแล้วจึงยึดถือ เราเสพสิ่งต่างๆนี้ เป็นธรรมดา เราเพลิดเพลิน พร่ำถึง
และดื่มด่ำ เป็นเนื้อเดียวกัน จนไม่สงสัย ไม่ฉุกใจคิด ความเชื่อที่ฝังตัวไปทีละเล็กละน้อย สร้างชุดความคิดของเราขึ้นมา
ชุดความคิดของคนอื่นก็เช่นกัน
เพียงแต่ความแตกต่างเกิดขึ้นจาก ความแตกต่างตั้งแต่ปฏิสนธิวิญญาณ กรรม สถานที่ เวลา ครอบครัว ในเบื้องต้น ในท่ามกลางก็เช่นเดียวกัน จึงเป็นชุดความคิดที่ยึดถือแตกต่างกัน
ด้วยชุดความคิดของเรา เราจึงไม่เข้าใจเขา ทำนองเดียวกัน เขาก็ไม่เข้าใจเราเช่นกัน

การปะทะกันของชุดความคิดที่แตกต่าง
ชุดความคิดที่แตกต่างนี้ต่างอยู่ในที่ในทางของตนเอง การประทะกันมีทุกสังคม ในสังคมที่แตกต่างมีกระบวนการจัดการกับความแตกต่างนี้ไม่เหมือนกัน
บางสังคมยอมรับและให้พื้นที่กับความแตกต่างได้ปะทะสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันด้วยการเคารพยอมรับความแตกต่าง ให้ที่หยัดยืนทั้งสองด้านด้วยความประสงค์สร้างสรรค์ 
บางสังคมยอมให้มีความคิดแตกต่างไม่ได้ จึงแก่งแย่งและเอาชนะกัน มอบพื้นที่ให้กับการปะทะสังหาร แข่งขัน ครอบครอง 
สิ่งที่น่าสังเกต คือ ชุดความคิดที่แตกต่างนั้นปกติอยู่กันอย่างสงบในที่ในทางของตน การปะทะสร้างสรรค์เกิดจากการเผยตัวและยอมรับกันและกันเพื่อการเรียนรู้ ส่วนการปะทะสังหารกันเกิดจากการปลุกเร้า เร่งรุก และสร้างวาทะกรรม วาทะกรรมที่สัตว์อื่นในโลกไม่มี มีเพียงในคนเท่านั้น 

ชุดความคิด วาทะกรรม และเจตนา
มนุษย์นั้นสร้างวาทะกรรมมานานมาก เรามีงานเกี่ยวกับวาทะกรรมเยอะมาก วาทะกรรมสร้างชุดความคิด และชุดความคิดก็สร้างวาทะกรรม เช่นเดียวกัน การสร้างทั้งชุดความคิดและวาทะกรรมล้วนมีเจตนาอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น เจตนานั้นเพื่อครอบงำ ครอบงำเพื่อให้สร้างสรรค์หรือสังหารตามเจตนา 
ชุดความคิดที่แตกต่างจึงปะทะกันตามเจตนา อาศัยความรักและเมตตา ทำให้ต้องสร้างวาทะกรรมสรรเสริญชมเชย ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ยอมรับในความแตกต่างอย่างไม่มีเงื่อนไขนำไปสู่การเรียนรู้เพื่ออยู่ร่วมกันเยี่ยงมนุษย์ที่เท่าเทียมเสมอกัน
ชุดความคิดที่แตกต่างจึงปะทะกันตามเจตนา อาศัยความกลัว ทำให้ต้องป้องกันป้องกันโดยสร้างวาทะกรรมดูหมิ่นดูแคลน ทำให้เกิดการรังเกียจเหยีดหยาม เมื่อรังเกียจเหยีดหยามแล้วจึงตัดสินในความแตกต่าง นำไปสู่ความต้องการขจัดทิ้งเยี่ยงผู้มีอำนาจเหนือกว่า
เพื่อการดั่งนั้นวาทะกรรมแห่งรักใคร่จึงดำรงอยู่ สัมผัสได้ และยังประโยชน์เสมอมา
เพื่อการดั่งนั้นวาทะกรรมแห่งความเกลียดชัง จึงเผยตัวของมัน นำไปสู่ วาทะแห่งอาชญากรรม ขจัดทิ้งผู้แตกต่างเสมอมา

เจตนาที่จะเข้าใจความแตกต่าง ต้องเข้าใจการอยู่รอดของแต่ละชุดความคิดเพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ซึ่งมีจุดหมายที่จะอยู่อย่างมีความหมายเท่าที่ชีวิตอันน้อยนิดและสั้นนักนี้จะทำได้
จะเข้าใจความแตกต่างจากโลกย์ที่เรายึดถือนั้นเป็นไปไม่ได้ เราต้องเข้าไปในโลกย์ที่เขาเป็นอยู่ จะเข้าไปในโลกย์ที่เขาเป็นอยู่ได้ด้วยการละทิ้งมโนธรรม ชุดความคิดที่เรายึดถือ อย่างไม่มีเงื่อนไข สัมผัสความแตกต่างอย่างนอบน้อม สำนึกว่า เราต่างเป็นผู้มีความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายเป์นธรรมดา จะล่วงพ้นสักสิ่้งไปไม่ได้เสมอกัน ...

การเข้าใจความแตกต่างของชุดความคิด
ไปหาเขา อยู่ร่วมกับเขา เริ่มจากสิ่งที่เขามี

ขอสันติสุขจงมีในสรรพธาตุรู้
ด้วยจิตนอบน้อม

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปัญญาแห่งมนุษยชาติ


แง่มุมของความเป็นมนุษย์
ศ.เกียรติคุณ พญ.วันเพ็ญ บุญประกอบ อาจารย์พิเศษประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล ให้คำนิยามว่า “ความเป็นมนุษย์ คือการเป็นคนดี มีศีลธรรม เป็นคุณความดีภายใน ทำให้เรามีความสบายใจ มีความสุข ใจสงบ”
(http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/healthtips/33435)

“ความเป็นมนุษย์ (Humanize)” คือ มิตรภาพ อารมณ์อ่อนไหว และความเชื่อใจที่มนุษย์พึงมีต่อกัน
(http://www.tcdc.or.th/src/5443/www-creativethailand-org/-ความเป็นมนุษย์-Humanism--สินทรัพย์สำคัญในเศรษฐกิจสร้างสรรค์-Creative-Economy-)

สัปปุริสธรรม ธรรมของสัปบุรุษหรือคนดี หรือธรรมของมนุษย์ผู้มีความเป็นมนุษย์ สมบูรณ์ มี ๗ ประการ ศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ แล้วปฏิบัติให้ได้ ก็จักสามารถรักษาคุณค่าแห่ง ความเป็นมนุษย์ทุกประการได้ สัปปุริสธรรม ๗ ประการคือ
1.       รู้จักเหตุ  ก็คือรู้จักพิจารณาให้รู้ว่าเหตุใดจักให้เกิดผลใด ไม่ด่วนทำอะไรก็ตามโดยไม่พิจารณาให้รู้เสียก่อนว่าเมื่อทำแล้วผลที่เกิดจะเป็นเช่นไร ก่อนจะทำการทุกอย่างต้องรู้ว่า เป็นการทำที่เป็นเหตุดีหรือไม่ดี คือจะก่อให้เกิดผลดีหรือไม่ดี
2.       รู้จักผล  คือรู้จักว่าภาวะหรือฐานะหรือสิ่งที่ตนกำลังได้รับได้ประสบนั้น เกิดจากเหตุใด เป็นผลอันเกิดจากการกระทำอย่างไร ไม่ด่วนเข้าใจว่าผลดีที่กำลังได้รับอยู่เช่นเงินทอง ของมีค่าที่ลักขโมยคดโกงเขามานั้นเกิดจากเหตุดีคือการลักขโมย แต่ต้องเข้าใจว่าความ ร้อนใจที่กำลังได้รับเพราะเกรงอาญาต่างๆ นั้นแหละเป็นผลของการลักขโมยคือต้องรู้ว่าผล ดีที่กำลังได้รับเกิดจากเหตุดีอย่างไร ผลร้ายที่กำลังได้รับเกิดจากเหตุร้ายอย่างไร ผลร้าย ต้องอย่าเข้าใจว่าเป็นผลดีอย่าเข้าใจว่าเป็นผลร้าย
3.       รู้จักตน  คือรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร อยู่ในภาวะและฐานะอย่างไร การรู้จักตนนี้จำเป็น มาก สำคัญมากเพราะมีความหมายลึกลงไปถึงว่าเมื่อรู้จักตัวเองว่าเป็นใคร มีภาวะและ ฐานะอย่างใดแล้ว จะต้องปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับภาวะและฐานะของตน จะได้รักษาความ มีค่าของตัวไว้ได้ ผู้ปฏิบัติไม่เหมาะสมกับภาวะและฐานะจักเสื่อมจากค่าของความเป็น มนุษย์ที่ตนเป็นอยู่
4.       รู้จักประมาณ  คือรู้จักประมาณว่าควรทำสิ่งใดเพียงใดที่เป็นการพอเหมาะพอควรแก่ ภาวะและฐานะของตน พอเหมาะพอควรแก่ผู้เกี่ยวข้อง พอเหมาะพอควรแก่เรื่องราว มีพุทธ ภาษิตกล่าวไว้ว่า “ความรู้จักประมาณยังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ”
5.       รู้จักกาล  คือรู้จักเวลา รู้ว่าเวลาใดควรทำหรือไม่ควรทำอะไร การทำผิดเวลาย่อมไม่ เกิดผลสำเร็จ ย่อมไม่เกิดผลดีเท่าที่ควร
6.       รู้จักประชุมชน  คือรู้จักภาวะและฐานะนิสัยใจคอบุคคลนั้นๆ ให้ถูกต้อง เพื่อว่าจะได้ ปฏิบัติตนที่เกี่ยวข้องด้วยให้เหมาะให้ควรแก่ประชุมชนนั้น
7.       รู้จักบุคคล คือรู้จักภาวะและฐานะนิสัยใจคอของบุคคลนั้นๆ ให้ถูกต้อง เพื่อว่าจะได้ ปฏิบัติตนที่เกี่ยวข้องด้วยให้เหมาะให้ควร รู้จักว่าเขาเป็นพาลจักได้หลีก รู้จักว่าเขาเป็น บัณฑิตคือคนดีจักได้เข้าใกล้ ให้เหมาะแก่แต่ละบุคคลไป ภาษิตที่ว่า “คบคนพาล พาลพา ไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” จักเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรู้จักบุคคลนี้แหละ
การลดความเป็นคนของคนที่คิดแตกต่าง จนกระทั่งทำร้ายได้อย่างที่เขาไม่ใช่คน
{พระนิพนธ์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7bf910517ed9a7d5)}

...สังคมมนุษย์ที่พึงประสงค์ก็คือสังคมที่มีความสว่างทางปัญญาและมีความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน
และแน่นอนว่าต้องเป็นสังคมที่มีเสรีภาพ เพราะเสรีภาพเป็นเงื่อนไขของความสว่างทางปัญญา เราต้องมีเสรีภาพที่จะพูดความจริงได้ ความว่างทางปัญญา (enlightenment) จึงจะเกิดขึ้นได้ สังคมที่ไม่มีเสรีภาพคือสังคมแห่งความมืด เพราะถูกครอบงำด้วยการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบต่างๆ ที่ตั้งคำถามไม่ได้
{สุรพศ ทวีศักดิ์: พุทธศาสนากับความเป็นมนุษย์ Sat, 2013-09-07 22:47(http://prachatai.com/journal/2013/09/48620)}

ความหมายของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ศักดิ์ศรี    คือ การยอมรับของบุคคลในสังคมในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ที่ได้รับการยอมรับของสังคมมนุษย์และเรื่องดังกล่าวต้องเป็นเรื่องดีงามเท่านั้นเรื่องไม่ดี ไม่ให้รวมเรื่องศักดิ์ศรี แม้ว่าพฤติกรรมที่บุคคลกระทำนั้น หรือต้องการกระทำนั้นๆ อาจจะกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็ได้ถือว่าเป็นเรื่องดีงาม สมควรยกย่องและต้องถือปฏิบัติเพื่อเป็นมติขององค์การ  การยอมรับขององค์กรต่างๆ นั้นด้วยก็ได้  สิทธิเสรีภาพหรืออำนาจและหน้าที่ก็ถือเป็นศักดิ์ศรีด้วยเช่นกัน
มนุษย์  คือ  บุคคลทั่วไป ไม่เลือกว่าจะเป็นชนชาติใด เผ่า ศาสนา ผิวสี ภาษา และอื่นๆ ที่มีสภาพเป็นที่ยอมรับว่าเป็นส่วนของสังคมตลอดจนองค์กร / องค์การ ที่อาศัยมติเป็นข้อปฏิบัติไปตามประสงค์ขององค์การ
องค์การก็ให้ถือเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน     ดังนั้นคำว่าสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในรัฐธรรมนูญให้ถือว่าเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 และ ปี 2550
มาตรา  4    “  ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  สิทธิ  และเสรีภาพของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง ”
มาตรา 26    “  การใช้อำนาจ  โดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี  ความเป็นมนุษย์ สิทธิและ
เสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้  “
มาตรา  28   “  บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิ และ
เสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือ ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน  “
(http://www.ongkarn-leio.org/knonwlege.php)

สองด้านของความเป็นมนุษย์ พระไพศาล วิสาโล
... ผู้คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองอะไรเป็นขาว-ดำอย่างชัดเจน ใครที่เป็นคนดีก็ขาวหมด ส่วนคนชั่วก็ดำหมด แต่แท้จริงแล้วขาวกับดำ ดีกับชั่ว ก็ปะปนอยู่ในตัวคนเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นความไม่ดีของใครบางคน แล้วเหมารวมว่าเขาเลวไปหมด เมื่อนั้นก็เป็นการง่ายที่เราจะเห็นเขาเป็นยักษ์มารหรือผีห่าซาตานที่สมควรขจัดออกไปจากโลกนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า เพียงแค่คิดเช่นนั้นเราก็กำลังจะกลายเป็นยักษ์มารไปแล้ว
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ทุกวันนี้เราไม่ได้เหมาว่าใครบางคนเป็นคนเลวเพียงเพราะเห็นความไม่ดีบางด้านของเขาเท่านั้น หากยังมีแนวโน้มที่จะมองว่าคนที่คิดต่างจากเราก็เป็นคนเลวไปด้วย ซึ่งหมายความต่อไปว่าคนเหล่านั้นสมควรถูกขจัดให้สิ้นซาก ใช่หรือไม่ว่านี้คือความคิดที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งในสังคมไทย ...
(http://www.visalo.org/article/jitvivat255203.htm)

ความเป็นมนุษย์กับการเข้าถึงสิ่งสูงสุด ความจริง ความดี ความงาม ประเวส วะสี
...มนุษย์ไม่ว่าอยู่ที่ไหนๆ ก็ล้วนต้องการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทำให้เกิดหลักการหรือกฎกติกาของการอยู่ร่วมกัน และเมื่อเกิดศาสนาใหญ่ๆ ขึ้น เช่น ฮินดู พุทธ เต๋า คริสต์ อิสลาม สิกข์ ก็มีทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติที่ยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงได้อย่างสุดๆ ...
...มนุษย์สามารถเข้าถึงสิ่งสูงสุดคือ ความจริง ความดี ความงาม และก็มีตัวอย่างของคนที่เข้าถึงสิ่งสูงสุดให้เห็นได้จริงๆ ว่าเป็นคนที่...
มีอิสระ เบาสบาย มีความสุข มีความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสิ่ง มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ...
(http://www.ebooks.in.th/ebook/6446/ความเป็นมนุษย์กับการเข้าถึงสิ่งสูงสุดความจริง_ความดี_ความงาม/)

ธรรมชาติและความต้องการของมนุษย์ วราภรณ ตระกูลสฤษดิ์
...การศึกษาเรื่องธรรมชาติและความต้องการของมนุษย์ จะช่วยให้เราเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่นได้ดีขึ้น และนำไปสู่การยอมรับความแตกต่างของมนุษย์ได้ เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับมนุษย์ในสังคมอย่างมีความสุข รู้และเข้าใจความมีอยู่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติของมนุษย์ ...
...อาจกล่าวสรุปได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์มีทั้งดีและไม่ดี นั่นคือ "มนุษย์ทุกคนไม่มีใครดีหมดตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า" หมายความว่า "ไม่มีใครที่ดีพร้อมทุกอย่าง แล้วก็ไม่มีใครเลวหมดไปเสียทุกอย่างจนหาข้อดีไม่ได้เลย" ทุกๆ คนล้วนมีข้อดีข้อด้อยของตนเอง เพียงแต่ข้อดีหรือข้อเสีย ฝ่ายใดจะมากน้อยกว่ากัน ถ้าข้อดีมากกว่าข้อเสียก็จะเป็นคนดี หรือถ้าข้อเสียมากกว่าข้อดีก็เป็นคนเลว ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการอบรมเลี้ยงดู และปัจจัยสภาพแวดล้อม...
(http://www.kmutt.ac.th/organization/ssc334/asset1.html)


การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง Hate speech
การแสดงออกซึ่งความไม่พอใจหรือสนับสนุนรัฐบาลดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงออกตามหลักสังคมประชาธิปไตย ที่เคารพซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในอันที่จะอนุญาตให้ความเห็นของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวสาธารณะได้มีพื้นที่ในการแสดงออก อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างสองฝ่ายนี้เอง หลายคนเห็นว่าอาจเป็นการประกาศสงครามเสื้อสีอีกระลอก ที่สามารถกระตุ้นเร้านำไปสู่ความรุนแรงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
จากปรากฏการณ์ข้างต้นที่หลายฝ่ายกำลังจับตามองน่าจะนำไปเป็นส่วนหนึ่งของกรณีศึกษาที่ว่าด้วยการสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง หรือ ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Hate speech ได้ โดยในการให้คำนิยาม Hate speech ในความหมายระดับสากล หมายถึง วาจาหรือการแสดงออกซึ่งมุ่งสร้างความเกลียดชังต่อปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคน โดยมีฐานจากอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา เพศสภาพ ความฝักใฝ่ทางเพศ สถานที่เกิด ชนชั้น อุดมการณ์ทางการเมือง หรือคุณลักษณะใดๆ อันเป็นการแบ่งแยกได้ ทั้งนี้ การสร้างความเกลียดชังปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคนดังกล่าวสามารถพัฒนาไปสู่การแสดงออกซึ่งกระทำและความรุนแรงต่อตัวบุคคลหรือกลุ่มคนนั้นในเชิงกายภาพได้ (Hate crime) เพียงเพราะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นๆ มีอัตลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับอคติที่ถูกปลุกเร้าให้เกิดความเกลียดชังนั่นเอง โดยความรุนแรงทางกายภาพจะเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการภายใต้การทำให้กลุ่มเป้าหมายที่ถูกเกลียดชังนั้นๆ มีสถานะที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ (Dehumanization) ไม่ว่าจะด้วยการทำให้เป็นที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง เป็นส่วนเกินของสังคม จนทำให้คนในสังคมรู้สึกว่าต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะทำให้บุคคลหรือกลุ่มคนดังกล่าวหายไปจากสังคมที่ตนเองดำรงอยู่
ทั้งนี้ จากการสำรวจจาก Noriega และ Iribarren นักวิชาการที่เฝ้าสังเกตและติดตามปรากฏการณ์การสังหารหมู่และความรุนแรงอันเกิดมาจาก Hate speech จะพบว่าการสื่อสารที่สร้างเกลียดชังประกอบไปด้วย 1) การบิดเบือนความจริง 2) การสร้างข้อโต้แย้งที่บกพร่อง (Flawed Argumentation) 3) การสร้างความเป็นอื่น (Divisive Language) และ 4) การลดทอนความเป็นมนุษย์ (Dehumanizing Metaphors) ซึ่งเราคงต้องจับตาดูกันอย่างไม่ให้คลาดสายตาว่า การสื่อสารของทั้งกลุ่มเสื้อสี กลุ่มสื่อแยกข้าง รวมถึงกลุ่มหน้ากากอันหลากหลายเหล่านี้ จะข้ามเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพในการแสดงออกไปสู่การเป็น Hate speech หรือไม่ อย่างไร เพราะท้ายที่สุด เราคนไทยคงไม่อยากเห็นปรากฏการณ์แบ่งขั้ว แบ่งสี อันนำไปสู่อาชญากรรมที่กระทำต่อคนไม่รู้จัก แต่เพียงเพราะเขามีแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกันเท่านั้นก็ถือเป็นสาเหตุให้คนไทยสามารถลงไม้ลงมือกันได้
พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล (http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/opinion/pijitra/20130605/509292/จาก-Hate-speech-สู่-Hate-crime-:-จากการเมืองไทยสู่แรงงานพม่า.html)

Livingstone Smith ตั้งข้อสังเกตในหน้า 13 ไว้ว่า “a whole group of people is represented as less than human, as a prelude and accompaniment to extreme violence… Dehumanization isn’t a way of talking. It’s a way of thinking – a way of thinking that, sadly, comes all too easily to us… It acts as a psychological lubricant, dissolving our inhibitions and inflaming our destructive passions. As such, it empowers us to perform acts that would, under other circumstances, be unthinkable.”
[คนทั้งกลุ่มถูกนำเสนอให้ต่ำกว่ามนุษย์ เพื่อเป็นการโหมโรงก่อนมีใช้ความรุนแรงอย่างสุดขั้ว…วาจาและข้อเขียนที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้อื่นไม่ใช่วิธีการพูดแต่เป็นวิธีคิด –วิธีคิดที่ น่าเสียดายว่าเรามีได้ง่ายเหลือเกิน… มันทำหน้าที่เป็นน้ำมันหล่อลื่นทางจิตวิทยา หลอมละลายความรู้สึกยับยั้ง และโหมไฟแห่งความเกลียดชังทำลาย เช่นนี้แล้ว มันทำให้เรามีพลังที่จะทำในสิ่งที่เรามิอาจคาดฝันนึกได้ ในบริบทอื่นๆ]
ในบริบทไทย วาจาข้อเขียนที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ก็เสมือนน้ำมันหล่อลื่นช่วยให้ผู้คน ‘สะใจ’ ได้ กับการตายของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
ประวิตร โรจนพฤกษ์ (http://mediainsideout.net/research/2013/01/100#sthash.AMo5bVy7.dpuf)(http://mediainsideout.net/research/2013/01/100)

ความขัดแย้ง
ในท่ามกลางสิ่งตรงกันข้าม การอยู่ร่วมกันต้องการความเข้าใจในความเป็นมนุษย์ ความเข้าใจต้องมาจากความเชื่อมั่นและเคารพในความเป็นมนุษย์
มนุษย์มีเลือดเนื้อมีชีวิต ความต้องการความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับ
บ่มเพาะด้านที่ถูกใจให้เห็นอย่างยาวนานของสิ่งที่จะประทับไว้ในใจ สร้างศรัทธาและความเชื่อในสิ่งที่ใช้เป็นสัญญลักษณ์
บ่มเพาะด้านมืดเพื่อให้คนรังเกียจ จัดคนหรือกลุ่มคนที่รังเกียจให้เข้าเงื่อนไข กล่าวถึงด้านเดียว สร้างการปฏิเสธของคนหรือกลุ่มคน มุ่งทำลายไม่ให้มีที่ยืน
เมื่อสถานการณ์พร้อม ความเชื่ออย่างฝังใจจึงทำให้มนุษย์ ไม่เห็นความเป็นมนุษย์ พร้อมที่จะกำจัดคู่ขัดแย้งออกจากสังคมด้วยการเข่นฆ่า กระทำต่อคู่ขัดแย้งอย่างไม่เป็นมนุษย์

ทุ่งสังหาร โศกนาฏกรรม "กัมพูชา" ช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจหลังจากยึดกรุงพนมเปญได้ในปี 2518 ทั่วทั้งแผ่นดินแดงฉานด้วยเลือด (http://www.thaithesims3.com/topic.php?topic=60560)
วันฆ่าพิราบ 2519 (https://sites.google.com/site/rungsirasite2011/phu-cheiywchay-kar-ptiwati-2/phaph6tulakhm2519)
เทียนอันเหมิน เหตุการณ์นองเลือดเมื่อคืนวันที่ 3-4 มิถุนายน 2532 กองทัพได้ใช้อาวุธเข้าปราบปรามนักศึกษา(http://www.manager.co.th/china/viewnews.aspx?newsid=9520000062391)
รวันดา ชนพื้นเมืองถูกสังหารหมู่ไปประมาณ 800,000-1,071,000 คน ในช่วงเวลา 100 วันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ถึง กรกฎาคมในปี พ.ศ. 2537 (http://th.wikipedia.org/wiki/การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา)

โปรดระงับการเผยแพร่ ความขัดแย้ง ถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง โปรดศึกษาให้เข้าถึง ความงาม ความดี ความจริง

ด้วย ปัญญาแห่งมนุษยชาติ ความสงบระงับจะมาสู่สังคมนี้ และสังคมนี้เจริญพัฒนาเมื่อคนเข้าถึง สิ่งสูงสุดในตนโดยแท้


ท่อนต่อ ถ้อยความแห่งรักใคร่ 

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ฟังเพลงพาเพลิน

ผมมีปกติฟังเพลงบรรเลงเพราะไม่อยากคิดมาก
และเพลงที่่ชอบฟังเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และบางครั้งเพื่อให้เกิดปัญญาในการขีดเขียนบางประการ
พบเพลงไพเราะที่ชื่นชอบก็ขอเก็มมาไว้ฟัง
ขอบคุณเจ้าของจาก Youtube ไว้ด้วย








เลือกฟังเอานะครับ

วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ

ผมอ่าน ซับบาลา เมื่อปีประมาณ 2534 อ่านมหาบูรพาสูรย์ เมื่อปีประมาณ 2554
อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ สิ่งที่อ่านเกี่ยวพันกับ ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ จากผู้เขียนคนเดียวกัน แต่ผู้แปลคนละคนกัน 
มันเกี่ยวพันกับ จิตตปัญญาศึกษา ซึ่งผมสนใจจิตตปัญญาศึกษามานานแล้วตามความหมายในภาษาไทย ที่ผู้รู้หลายท่านได้เสนอ แต่ในครั้งหนึ่งที่ได้ฟัง จิตวิญญาณการแสวงหากับการคศึกษาเพื่อเสรีภาพ จากคุุณวิจักข์ พานิช ผมเข้าใจความหมายที่เขื่อมโยงกับประสบการณ์ของผมไปตามที่รับรู้


มีมากมายที่ผมไม่รู้และไม่เคยได้ฟัง
ผมได้อ่านข้อเขียนของคุณวิจักข์ และเรื่องที่คุณวิจักข์ แปลมาหลายเรื่อง จึงสืบค้นจนพบว่า เรื่อง ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ คุณวิจักข์ เป็นผู้แปลอีก อยากอ่านแต่ไม่อยากลงทุน ต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่ง ระหว่างที่รอผลก็เชิญชม การสนทนาถึงเรื่องเหล่านี้ก่อน


https://www.youtube.com/watch?v=xEkgg75QHV8&list=PLE85AE0D783C701B0

มีความเห็นประการใดโปรดแลกเปลี่ยนนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หนังสือแห่งความสุข

ได้เข้าไปอ่านหนังสือที่ ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสาร สสส. มีหนังสือให้อ่านหลายเล่มในหน้าแรกจะมีหนังสือชุด
 WISH เรื่องเล่าเพื่อความหวังและพลังใจ
“WISH เรื่องเล่าแห่งความหวังและพลังใจ” เป็นชุดหนังสือที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะมีความตั้งใจจัดทำขึ้น  เพื่อให้ผู้อ่านทุกท่านสามารถเข้ามาเรียนรู้มุมมองแนวคิด  ประสบการณ์ชีวิต  ตลอดจนเคล็ดลับการเอาชนะต่ออุปสรรคปัญหาของผู้คนที่น่าสนใจถึง  100 คน  ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่ได้มีส่วนร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่  โดยมีการเรียบเรียงเป็น 4 เล่มตามชื่อหนังสือ คือ W – Wisdom, I – Inspiration, S – Sharing และ H – Health & Happiness  ด้วยหวังว่าเรื่องราวชีวิตอันมีคุณค่าของท่านทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นตัวอย่างและบทเรียนที่จุดประกายความหวังและพลังใจให้ผู้อ่านได้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงและสร้างสุขภาวะองค์รวมทั้ง 4 มิติ คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา เพื่อความสุขที่ยั่งยืนของตนเองและสังคมไทย
 ได้อ่านเล่มความสุข
เรื่องแรกเล่าโดย 
ตอนหนึ่งเขาบอกว่า
เขาล้อมกรอบไว้ว่า
ได้เห็นมุมมองของความสุขของมาโนช เค้าไม่มีทุกข์ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ทุกข์
ผมได้เห็นมุมมองของชีวิตที่ไม่มีทุกข์ เพียงแต่เราไม่มีสิ่งใดเป็นทุกข์ ก็เท่านั้นเอง
ขอบคุณความคิดดีๆ ตามไปอ่านฉบับเต็มหรือ Download ได้ครับ
หรือจะเลือกอ่านเล่มอื่นก็ได้ตามอัธยาศัยครับ

วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ชีวิตที่มีสุข



เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ออนไลน์ ความว่า "สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. ว่า เจ้าชายซาอุดิอาระเบียทุ่มเงิน 15 ล้านยูโรหรือราว 585 ล้านบาท สำหรับความสนุกรื่นเริงเป็นเวลา 3 วันที่ดิสนีย์แลนด์ใกล้กรุงปารีสของฝรั่งเศส เพื่อฉลองที่พระองค์สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา   เจ้าชายฟาฮัด  อัล-ซาอัด   ได้จองพื้นที่ของดิสนีย์แลนด์ทั้งหมด ระหว่างวันที่ 22 -24 พ.ค.ที่ผ่านมาสำหรับแขกราว 60 คน   ทั้งนี้  สวนสนุกดังกล่าวดึงดูดนักท่องเที่ยว 16 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว  แต่ยูโร ดิสนีย์ ไม่มีกำไร นับตั้งแต่เปิดบริการเมื่อ 20 ปีก่อน  และตั้งแต่ 6 เดือนจนถึงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา  ยูโร ดิสนีย์ ขาดทุนสุทธิ 89.1 ล้านยูโร เมื่อเทียบกับการขาดทุนถึง 11.8 ล้านยูโรในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว"
หันมาค้นดูเรื่องความอดอยาก พบเรื่อง "ตายเพราะอดอยากวันนี้กี่คน" (http://www.kidtalentz.com/?p=201)
ภาพจาก http://media.nowpublic.net/images//20/4/2040c3578eee631c8d7ae6a4f852620b.jpg
พบว่ามี เว็ปไซด์ http://www.stopthehunger.com/ ให้สถิติไว้ว่าวันนี้ (5 มิ.ย. 56) คนอดอยากตายไปแล้ว 19,656 คน น่าเศร้านะ

เลยหาหลักว่าแล้วความสุขคืออะไร เพราะความสุขของ คนรวย ใช้เงิน สามวัน 585 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย แต่คนอดอยากส่วนใหญ่ไม่มีเงินซื้ออาหาร เห็นสองด้านแล้วกลับมาที่ พุทธรรม ข้อสุขของคฤหัสถ์ แล้วก็เข้าใจ คนมีมากก็ใช้มาก คนไม่มีก็ไม่มีใช้

ได้แต่สวดภาวนาแผ่เมตตาไปให้ด้วยใจตั้งมั่น หวังว่าสันติ และความสุขจะมีอยู่ในโลกนี้

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ครบ 61 ปี อยู่มาแล้ว 22280 วัน

แม่และผม


วันเกิดคือ วันที่ แม่เจ็บปวด
แม่ร้าวรวด เรือนกาย หาใดเหมือน
เป็นความจริง สิ่งดีงาม ตามย้ำเตือน
ไม่แชเชือน ทำดี บูชาพระคุณ

ระลึกถึงแม่ในวันเกิดครบรอบ 61 ปี เมื่อแม่ยังแข็งแรงอยู่ทุกปีในวันเกิดของลูกๆ แม่จำได้เสมอ แม่จะทำบุญใส่บาตรในวันเกิดของทุกคนในบ้าน แม่บอกว่าเราต้องทำบุญเราจะได้ไม่ยากไร้ ชาตินี้เรามีความลำบากยากจน แต่ถ้าเราทำบุญไว้มากๆ เราจะไม่ยากจนอีก
แม่เป็นผู้หญิงที่แกร่งและเก่ง ในสายตาของผมเสมอ
ตั้งแต่ผมยังอยู่ในท้อง แม่แยกทางกับพ่อของผม และเลี้ยงผมมาเพียงลำพัง แม่ดูแลทะนุถนอมผมมาและให้การศึกษาผมจนมีอาชีพไม่ขัดสน ผมเรียนจบพร้อมกับบวชเรียนแล้วแม่จึงไม่ค่อยห่วงผมเท่าไร งานของผมส่วนใหญ่ต้องออกต่างจังหวัด เมื่อผมออกจากบ้านไปทำงานครั้่งแรกแม่ให้แหวนนามสกุลผมมาหนึ่งวงเป็นแหวนทองลงยา แม่บอกว่าวันใดที่ไม่ไหวต้องการกลับบ้านไม่ต้องกลัวจะไม่มีเงิน ให้ขายแหวนเสียแล้วกลับมาหาแม่ที่บ้าน
ตอนทำงานอยู่บริษัทเมื่ออายุ 21 ปี ไปทำงานที่จังหวัดอุบลผมปวดฟันมาก ไปหาหมอฟันสมัยก่อนเป็นหมอจีน เขาถอนทั้งที่ปวดฟันนั้นเป็นฟันกรามการถอนทำโดยใช้วิธีทำให้ฟันแตกแล้วดึงออก ผมเจ็บมากเมื่อเสร็จแล้วผมเดินออกมาหาพรรคพวกที่มาส่ง ขณะเดินมานั้นมีรถขนส่งกรุงเทพอุบลผ่านมาแล้วเรียกคน "กรุงเทพครับ เทพครับ เทพ" ผมโดดขึ้นรถและหันมาหาเพื่อนบอกว่า "บอกบริษัทด้วยว่าอีกสองสามวันจะกลับมา ลาป่วยโว้ย" ผมกลับมาหาแม่อยู่กับแม่อ้อนแม่ให้ทำข้าวต้มให้กิน แล้วอีกสองวันผมก็กลับไปทำงาน
ผมกับแม่มีจิตที่สัมพันธ์กัน เรามักจะรู้กันตลอดผมเป็นอะไรแม่รู้หมด พูดโกหกแม่จับได้ทุกครั้งจนแม่บอกว่าไม่ต้องโกหกแม่หรอก ถ้าทำผิดก็ยอมรับโทษไป ผมจำไม่ได้ว่าเลิกโกหกอายุเท่าใด แต่จำได้ว่าผมไม่เคยโกหกแม่อีกเลย และแม่ก็เชื่อผมมาโดยตลอด แม่บอกว่าแม่เลี้ยงของแม่มาแม่รู้ของแม่
เมื่อผมไปบวชที่วัดงิ้วราย อ.นครไชยศรี จ.นครปฐม (สมัยก่อนการคมนาคมไม่สะดวก ไปมาลำบาก ไปโดยรถไฟ รถไฟเกือบทุกขบวนจะจอดสถานีงิ้วรายเพื่อให้คนต่อเรือไปจังหวัดสุพรรณ) ตอนบวชนั้นในพรรษาผมไม่ได้ไปเยี่ยมโยมแม่ แต่โยมแม่ก็มาเยี่ยมบ้างซึ่งผมก็จะรู้ตลอดไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไรว่าวันรุ่งขึ้นโยมแม่จะมาทำบุญพระลูกชาย ในทำนองเดียวกันพออกพรรษาผมก็ได้ไปเยี่ยมโยมแม่และพักค้างแรมที่บ้านโยมแม่บ้าง ทุกครั้งแม่จะรู้ว่าพระลูกชายจะมา จนไปทำงานต่างจังหวัดระยะแรกๆ ยังไม่มีครอบครัวแม่ยังรู้ว่าผมจะกลับมาบ้านทั้งที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า(สมัยก่อนการสื่อสารมีเพียงจดหมาย โทรเลข โทรศัพท์แพงมากๆ และไม่เคยได้ใช้)


ในยามคับขันผมจะได้กำลังใจและการแก้ไขจากแม่เสมอ เมื่อปี 2520 ผมโดนขบวนการโจรก่อการร้ายกักตัวไว้ที บันนังสตาร์ ยะลา ตอนไปสำรวจเส้นทางก่อสร้างหมู่บ้านอพยพจากการก่อสร้างเขื่อนบางลาง ผมถูกส่งกลับมาที่กรุงเทพ ผมมาหาแม่ แม่พยายามหาทางให้ผมย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพแต่ไม่สำเร็จ ผมกลับไปทำงานที่เขื่อนบางลางโดยมีชายผ้าถุงแม่ติดตัวไว้ป้องกันตัวตลอด แม่บอกว่าแม่จะอยู่คุ้มครองลูกเสมอ ชายผ้าถุงแม่ผมยังเก็บไว้จนถึงทุกวันนี้
ในวันเกิดผมระลึกถึงแม่ แม่จากผมไปในปี 2550 เกือบ 6 ปีแล้ว แม่เคยบอกว่าถ้าแข็งแรงดีจะมาบ้านผมที่ลำปางแต่แม่ก็จากไปก่อน เมื่อตอนเก็บกระดูกแม่ผมได้นำกระดูกแม่ผมมาที่บ้านที่ลำปาง แม่อยู่กับผมประมาณสิบวันผมก็นำกระดูกและอังคารแม่ไปลอยน้ำที่เขื่อนกิ่วลม ให้แม่อยู่กับผมที่ลำปางอย่างชุ่มเย็นเป็นสุข

อ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วลม ลำปาง

ตลอดเวลาที่แม่มีชีวิตอยู่ผมไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดคอยปรนนิบัติแม่ แต่ผมตั้งใจไว้เสมอว่าการทำดี เป็นคนดีของแม่จะเป็นการตอบแทนพระคุณที่แม่มีให้เสมอมา รักแม่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ดวงกับชีวิต เหตุแห่งการค้นหา

คำทำนายหมอทรัพย์สวนพลู จากมติชน ออนไลน์

เมื่อติดยึดกับสิ่งภายนอก เราก็เป็นไปตามดวงของเรานั้นเอง เมื่อเราฝึกฝนจนเข้าใจแล้วเป็นอยู่ด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่ประมาทมีสติควบคุม มีความระวังทำศึลให้บริสุทธิ์ และฝึกฝนตนเองเรียนรู้อยู่เสมอ

พยายามหาคาถามาท่อง จึงเข้าไปค้นหาข้อความในที่ต่างๆ จนในที่สุดก็พบใน http://www.84000.org
ได้ข้อความมาดังนี้

จาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒
คาถาที่หมอทรัพย์ฯ แนะนำให้ท่องคือ "ปพฺพตฏฺโฐว ภุมฺมฏฺเฐ ธีโร พาเล อเวกฺขติ." อ่านว่า ปัพพะตัฏ โฐวะ ภุมมัฏเฐโร พาเล อเวกขะติ แปลว่า ปราชญ์ย่อมพิจารณาเห็นคนพาลทั้งหลายได้ เหมือนคนผู้ยืนอยู่บนยอดเขา มองเห็นชนผู้ยืนอยู่บนพื้นดินได้ฉะนััน


วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

สังหารมิตร


"เขานำความวิบัติมาสู่ประชาชาติของเขา ผู้ที่ไม่เคยหว่านเมล็ดพืช ไม่เคยถืออิฐโบกปูน ไม่เคยถักทอเสื้อผ้าแม้แต่น้อย ได้แต่ทำการเมืองให้เป็นอาชีพของเขาเท่านั้นเอง" คาริน ยิบราน
"เขานำความวิบัติมาสู่องค์กรของเขา ผู้ที่ไม่เคยลงมือทำงาน ไม่เคยประสานงานกับผู้คน ไม่เคยสร้างผลงานแม้แต่น้อย ได้แต่ทำการงานเป็นส่วนๆ ไปตามอาชีพของเขาเท่านั้นเอง" ทิพย์ พัชน์ศรี

ผมสงสารและเห็นใจองค์กรใหญ่แห่งหนึ่ง เขามีแต่ประโยชน์ตนดำรงประโยชน์ตนไว้เหนือคุณธรรมน้ำมิตร ประโยชน์ตนที่ทำหน้าที่แห่งตนให้ดีที่สุด น้ำมิตรไม่ใช่เรื่อง ธุระ กงการ อะไรที่จะต้องนำมาใส่ไว้ในใจ ประโยชน์ตนที่ได้รับการออกแบบไว้ในระบบงานที่มีเจตนาแอบแฝงเอาประโยชน์ใส่ตน
การแบ่งกันทำงานเป็นประโยชน์ในการออกแบบองค์กรให้ทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ อยู่ที่เจตนาของการออกแบบนั้น บางครั้งเมื่อออกแบบมาแล้วผู้ปฏิบัติไม่มีหน้าที่มาตีความต้องทำตามที่กำหนดไว้แล้ว มิเช่นนั้นจะเป็นการผิดกฎ ผิดระเบียบ ความผิดสร้างความกลัวในคนทำงาน คนทำงานจึงเหมือนเครื่องจักรกลไม่ได้มีหน้าที่แก้ปัญหา หรือสร้างสรรค์งานใด คนก็มีความสุขตามอัตตภาพ องค์กรได้ผลงานตามที่ออกแบบแล้ว

เคยฟังเรื่องเล่าไหม มีองค์กรหนึ่งได้ออกแบบกระบวนการสังหารไว้ดังนี้ หน่วยที่ 1 สร้างรถยนต์สร้างรถที่มีท่อไอเสียพ่นเข้าข้างในตู้ขนส่งของรถ ส่งให้หน่วยที่ 2 มีหน้าที่ขนส่ง หน่วยขนส่งแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกมีหน้าที่ขับรถที่ทำความสะอาดแล้วไปจอดไว้ที่หน้าเรือนจำดับเครื่องเปิดท้ายทิ้งไว้ กลุ่มที่สองมีหน้าที่ไปขับรถนั้นไปยังจุดหมายแล้วทิ้งไว้ กลุ่มที่สามมีหน้าที่ไปขับรถกลับมายังที่เก็บแล้วทำความสะอาดภายในตู้ขนส่ง หน่วยที่ 3 มีหน้าที่คัดคนในเรือนจำตามที่ได้รับสั่งการขึ้นไปรอบนรถขนส่งแล้วปิดตู้ หน่วยที่ 4 มีหน้าที่มาเปิดตู้ขนส่งนำร่างที่ไร้วิญญานออกมากลบฝัง ด้วยเหตุดังนี้คนทั้งสี่กลุ่มไม่มีผู้ใดเป็นผู้สังหารคนในเรือนจำ ต่างคนต่างทำหน้าที่ไม่ต้องรับผลของสิ่งที่เกิดขึ้น การดั่งนี้สามารถฆ่าสังหารคนได้โดยไม่มีใครรู้สึกผิดมโนสำนึก ฆ่าได้มากฆ่าได้ทุกวัน
องค์กรใหญ่แห่งหนึ่งก็เช่นกัน ออกแบบกระบวนการทำงานไว้ดั่งนี้ หน่วยแรก หน่วยที่ปฏิบัติการเมื่อได้รับคำสั่งมีเป้าหมายที่จะกระทำ หน่วยปฏิบัติมีหน้าที่ออกแบบการทำงาน หาวิธีการทำงาน หาผู้มาทำงาน ควบคุมงาน ประเมินผลงาน ตรวจรับงาน อันนี้มีกฏระเบียบที่บังคับไว้ไม่ให้ผิดกฏหมาย หน่วยที่สอง หน่วยว่าจ้าง มีหน้าที่ว่าจ้างผู้มาทำงาน ทำสัญญาผูกมัด ซึ่งมีกฏระเบียบที่ออกแบบไว้แล้วและไม่ให้ผิดกฏหมาย หน่วยที่สาม หน่วยจ่ายเงิน มีหน้าที่จ่ายเงินตามระเบียบที่องค์กรออกแบบไว้เองและตราเป็นระเบียบ เนื่องจากเป็นองค์กรใหญ่มีเงินจ่ายออกเป็นจำนวนมาก จึงตรากฎไว้ว่าไม่ว่าใครจะได้รับเงินต่อเมื่อส่งงานและตรวจรับแล้ว หลังจากนั้น 30 วัน หากวันครบกำหนดเป็นวันหยุดจะทำให้ในวันเปิดทำการถัดไป การดั่งนี้ หากองค์กรนั้นต้องจ่ายเงิน เดือนละ 1,000 ล้าน จะดึงเงินไว้ในองค์กรได้อีก 30 วัน สามสิบวันดอกเบี้ยเงิน 1,000 ล้าน เป็นเงินเท่าไรคิดกันเองก็แล้วกัน ระเบียบนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งตนโดยแท้ ไม่มีคุณธรรมน้ำมิตรใดจะละเมิดกฏเกณฑ์ได้
ทีนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หน่วยปฏิบัติการหนึ่งต้องการทำงานที่ใช้ความรู้พิเศษบางประการ จึงไปขอให้หน่วยงานของทางราชการหน่วยหนึ่งมาทำงานให้ หน่วยงานของทางราชการนั้นรับทำให้ แต่ด้วยความไม่รู้ในระเบียบจึงมีความคาดหวังว่า การรับเงินจะไม่มีปัญหาใด และในหนังสือที่ส่งไปให้นั้นมาในหัวเรื่องขอความอนุเคราะห์ไปยังหน่วยเหนือ ด้วยความเคยชินในระบบราชการจึงเข้าใจเอาเองว่า ผู้มาติดต่อนั้นจะเบิกเงินมาจ่ายให้ได้ในวันที่มีการทำงานหรือเมื่องานนั้นสิ้นสุดลง และไม่ได้ใส่ใจว่าเป็นการรับจ้างทำงาน แต่เป็นการให้ความอนุเคราะห์ทำงานให้ ด้วยความที่มีงานประจำมาก ราชการใช้งานเยอะ หัวหน้าโครงการจึงไม่ได้ทำสัญญาล่วงหน้า และไม่เข้าใจสถานะแห่งตน ว่า หน่วยปฏิบัติการยกย่องว่าเป็นผู้มีความรู้พิเศษ แต่ หน่วยว่าจ้างและหน่วยจ่ายเงินไม่ได้คิดอย่างนั้น ระเบียบต้องเป็นไปตามระเบียบ คุณธรรมน้ำมิตรใช้ละเมิดกฏไม่ได้ ในตอนทำสัญญานั้นหัวหน้าโครงการได้รับข่าวสารจากหน่วยงานว่าจ้างว่า สามารถที่จะรับเงินได้ภายใน 15 วันขอให้รีบเอางานมาส่งพร้อมทั้งลงนามสัญญา อันนี้ได้รับทราบเมื่อวันสุดท้ายของการทำงานปฏิบัติการเสร็จ หน่วยปฏิบัติการจึงร่วมด้วยช่วยให้มีการตรวจรับงานให้แล้วเสร็จในวันที่ 7 มี.ค. 56 และหัวหน้าโครงการจึงรีบเดินทางมายังสำนักงานกลาง (การปฏิบัติงานนี้เกิดขึ้นที่ต่างจังหวัด) นำมาส่งให้ในวันที่ 8 มี.ค. 56 และหวังว่าเมื่อผ่านไป 15 วัน ประมาณ วันที่ 23 มี.ค. 56 ก็จะได้รับเงิน ในการปฏิบัติการนี้ หัวหน้าโครงการมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและไม่สามารถนำเงินทางราชการมาใช้ก่อนได้ จึงแบกรับภาระไว้เอง และการทำงานเป็นแบบหน่วยงานรัฐต่อหน่วยงานรัฐ ผู้ร่วมโครงการล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการที่มีรายได้ไม่มากนักมีภาระที่จะต้องใช้จ่ายเช่นกัน หัวหน้าโครงการจึงของร้องผู้เข้าร่วมโครงการให้รอ คาดว่าวันที่ 25 มี.ค. 56 ไม่เกินนั้น จะได้รับเงินจากการปฏิบัติการแน่นอน จากการประสานงานของหัวหน้าโครงการกับหน่วยปฏิบัติการในเวลาต่อมาทราบว่าไม่สามารถทำได้ตามที่หน่วยงานว่าจ้างบอกช่องทางไว้ ทีนี้เมื่อทราบดั่งนั้นแล้ว หัวหน้าโครงการก็ยอมรับสภาพว่า 30 วัน ก็ 30 วัน ตามข้อเท็จจริงทางหน่วยที่ปฏิบัติการตรวจรับหลังงานเสร็จแล้วเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 56 นำส่ง วันที่ 8 มี.ค. 56 ความคาดหวังจึงอยู่ที่ วันที่ 8 เม.ย. 56 จะได้รับเงิน แต่กลับได้รับคำตอบว่า วันที่ 17 เม.ย. 56 จึงจะได้รับเงิน ความคิดของหัวหน้าโครงการ ที่ไปรับปากกับผู้ร่วมโครงการไว้ตามความคาดหวังคือได้ก่อนหยุดสงกรานต์จึงทำให้หัวหน้าโครงการผิดหวังเพราะจะทำให้เป็นผู้เสียคำพูดซึ่งหัวหน้าโครงการรักคำพูดมาก และผู้ร่วมโครงการจะเข้าใจว่าหัวหน้าโครงการแก้ตัวไปวันๆ เพื่อให้พ้นความรับผิดเท่านั้น หัวหน้าโครงการไม่เข้าใจว่าส่งงานตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 56 แต่ทางหน่วยจ่ายเงินซึ่งเป็นผู้อยู่ในองค์กรเดียวกันกลับไม่ยอมรับกลับเอากฏมาว่าเอกสารมาถึงวันใดนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไปซึ่งไม่ใช่ความผิดของหัวหน้าโครงการที่จะไม่เข้าใจ หน่วยจ่ายเงินที่ยึดกฏระเบียบที่เอื้อแก่องค์กรตนรั้งเงินไว้เท่าใดก็ได้ประโยชน์มากเท่านั้น (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว)จึงเป็นอันว่าหัวหน้าโครงการจะไม่ได้รับเงินในวันที่ 12 เม.ย. 56 เพราะวันที่ 12 เม.ย. 56 รัฐบาลประกาศเป็นวันหยุด นับเป็นกรรมต่อเนื่อง ดั่งนี้ แล

จากเหตุการณ์ข้างต้นมีข้อสังเกตุเกี่ยวกับ กฏระเบียบ การบริหารความคาดหวังและการผลักภาระ ดังนี้
หน่วยงานปฏิบัติการไม่ทราบกฏระเบียบเกี่ยวกับการนี้โดยละเอียดและปรึกษากับหน่วยงานว่าจ้างเพียงหน่วยเดียวด้วยความไว้ใจว่าจะแนะนำได้ดีเพราะเป็นผู้ชำนาญการจ้าง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องการจ่ายเงินหากประสานกับหน่วยงานจ่ายเงินด้วยจะได้ข้อมูลด้านกฏระเบียบได้ชัดเจนตามจริงมากขึ้น
หน่วยงานปฏิบัติการ หน่วยงานว่าจ้าง หน่วยงานจ่ายเงินไม่ได้บริหารความคาดหวังของหน่วยงานราชการที่ปฏิบัติงานให้คาดหวังตามความเป็นจริง ทำให้มีความคลาดเคลื่อนในความคาดหวังของหน่วยงานราชการที่มาปฏิบัติงานให้ จากความคาดหวังที่คลาดเคลื่อนทำให้สื่อสารต่อไปไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
การผลักภาระจากตนไปให้หัวหน้าโครงการของหน่วยงานราชการนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากไม่เข้าใจโดยรอบคอบ เป็นการสร้างภาระและสร้างความผิดหวังให้กับหัวหน้าโครงการที่มาปฏิบัติการให้ ทั้งที่ ภาระนั้นควรจะเป็นขององค์กรที่หน่วยงานทั้งสามต้องเป็นผู้จ่ายหัวหน้าโครงการหรือหน่วยราชการไม่มีหน้าที่มาออกแทนเพราะไม่ได้เป็นผู้รับจ้าง เป็นผู้มาปฏิบัติการตามหนังสือขอความอนุเคราะห์

ข้อสังเกตุอีกประการหนึ่งคือการผูกมิตร ในการนำเสนอผลในการปฏิบัติการเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 56 ผู้บริหารของหน่วยงานปฏิบัติการได้แสดงความเห็นว่าจะขอให้หน่วยงานราชการนี้มาช่วยทำวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกันนี้ ตอนนั้นมีการยินดีที่จะได้ร่วมงานกันอีก ตอนนี้เราได้สังหารมิตรของเราเรียบร้อยแล้ว และผมบริหารความคาดหวังของหน่วยปฏิบัติการไว้ล่วงหน้าว่าไม่ต้องติดต่อไปอีก งานนี้งานเดียวจบสิ้นกันแล้ว และจะเป็นที่เล่าขานกันไปทั้งประเทศเพราะหน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานสังกัดระดับกรมด้วย
(หมายเหตุ ผมนับยังไง จากวันที 12 มี.ค. 56 ครบ 30 วันก็วันที่ 11 เม.ย. 56 ไม่เชื่อลองนับดู แล้วจะรู้ว่า ...บุคคลที่เห็นแก่ประโยชน์ตน...)

แด่ประโยชน์แห่งมนุษยชาติ 
บุคคลที่เห็นแก่ประโยชน์ตน
มิอาจสร้างโลกที่สงบสุข 
และรับใช้มนุษยชาติได้ 

การงานเป็นสะพานเชื่อมความรัก นะครับท่าน อย่าใช้เป็นเครื่องสังหาร

ด้วยจิตนอบน้อม

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2556

โครงการแจกเพื่อนแท้ เล่มที่ 3, 4, 5 และ 6

                                     หนังสือคือมิตรแท้           ของฉัน
                              หลับตื่นมีแต่มัน                     อยู่ใกล้
                              สุขทุกข์สารพัน                      มันให้
                              สบายจิตใจไซร์                     เมื่อได้อ่านมัน

(ทิพย์ พัชน์ศรี)
ก่อนสุดสัปดาห์แจก 4 เล่มรวด ยังเป็นประเภทนวนิยายครับ 

เล่มที่ 3
หนังสือ    หักเหลี่ยมเจ้าพ่อ ผู้แต่ง เจฟฟรีย์ อาร์เชอร์ ผู้แปล/เรียบเรียง วีแม่น อิทธิหิรัญวงศ์ เรื่องแปล ชนิดปก    อ่อน ISBN     974 526 008 4 จำนวนหน้า 444 พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ย. 2520 สำนักพิมพ์รวมสาสน์ ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 260 กรัม สภาพเก่า ครบหน้า ราคาขายตอนนั้น 37 บาท



... ฮาร์วีย์ แม็คคาล์ฟ เจ้าพ่อวงการน้ำมันและหุน ใช้เวลาสร้างตัวเองมากว่า 25 ปี ด้วยเล่ห์กลสารพัด ทางการตำรวจทั่วโลกพยายามใช้กฏหมายเล่นงานเขาให้อยู่มือ แต่ฮาร์วีย์ไม่เคยพลาดที่จะทิ้งหลักฐานใดๆ ให้ผูกมัดต่อเขาได้...
...4 หนุ่มต่างอาชีพผู้มีอนาคตไกลเป็นเหยื่อติดกับกลโกงธุรกิจของเจ้าพ่อจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ด้วยความแค้น ทั้งสี่จึงรวมหัวกันวางแผนซ้อนเพื่อหลอกเอาเงินคืนมาให้ได้ด้วยวิธีแยบยลสะใจ และใช้ความรู้ในวิชาชีพหลักของแต่ละคนมารวมกัน
"ข้าขอสัญญาว่าจะต้องหลอกเอาเงินที่มันโกงไปกลับคืนมาให้ได้พร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันแรก ไม่ให้ขาดไม่ให้เกินแม้แต่เก๊เดียว..." 



เล่มที่ 4


หนังสือ    เดอะ ซิตาเดล ผู้แต่ง    A.J. Croni 
ผู้แปล/เรียบเรียง สาธาร เรื่องแปล ชนิดปกอ่อน จำนวน 306 หน้า
พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ย. 2520 สำนักพิมพ์ประพันธ์สาสน์ 

ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 160 กรัม 
สภาพ เก่า ครบหน้า ราคาขายตอนน้้น 15 บาท

เรื่องหมอๆ 
แอนดรูพยายามเป็นหมอที่ดี แต่ เขาถูกกล่าวหาด้วยหมอทั้งหลายที่หวังจะไม่ให้เขาเป็นหมออีกต่อไป เขาจะผ่านไปได้หรือไม่
เป็นเรื่องหมอๆ จริงๆ 
อ่านแล้วจะเข้าใจและไม่เข้าใจหมอ 555








เล่มที่ 5
หนังสือ บ้านผี ผู้แต่ง เจย์ แอนสัน ผู้แปล/เรียบเรียง พรจิต อัศวกุล เรื่องแปล ชนิดปกอ่อน จำนวน 309 หน้า
สำนักพิมพ์บรรณกิจ ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 190 กรัม สภาพเก่า มีหน้าเกิน ราคาขายตอนนั้น 21 บาท



เรื่องเกิดในปี 1975 ( พ.ศ.2518) ครอบครัวลูทธ์ ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งซึ่งเขาต้องเผชิญอะไรที่น่ากลัวตลอด 28 วันที่ย้ายเข้าไปอยู่ 
ล้วครอบครัวบลูทธ์ จะอยู่ได้หรือไม่









เล่มที่ 6
 หนังสือ ลูบหนวดปัวโร ผู้แต่ง อากาธา คริสตี้ ผู้แปล/เรียบเรียง ปรีชา- ตวงตา เรื่องแปล ชนิดปกอ่อน จำนวน 336 หน้า ขนาด11 x 18 ซม. น้ำหนัก 180 กรัม สภาพ เก่า ดี ครบหน้า ราคาขายตอนนั้น 24 บาท


 ก็เรื่องนักสืบ สอบสวนที่ลือสั่นนะแหละครับ










โปรดแจ้งความจำนงมายัง rarearntoo@gmail.com เรื่อง Subject : ขอรับหนังสือเล่มที่ ...(ระบุเล่มที่ต้องการ) โปรดแจ้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ที่จะให้จัดส่งหนังสือ

โปรดอ่านเจตนาของผมที่จะแจกเพื่อนแท้ ที่ หนังสือคือมิตรแท้

อาทิตย์หน้าจะแจกหนังสือ ประเภท How to. นะครับ โปรดติดตาม  

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย

เมื่อยามที่ชีวิตต้องรอคอย ต้องมีศรัทธา
ชวนฟังเพลง แสงดาวแห่งศรัทธา ประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์


ลองฟังเพลงของคาราวานที่แต่งให้จิตร ร้องโดย พี่หงา